วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

(เรื่องที่ 4) การเกิดและการดับของสงครามเย็น

สงครามเย็น - การเกิดและการดับของสงครามเย็น



              เป็นที่ทราบกันดีว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง การเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายอักษะได้แปรเปลี่ยนไปเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างอุดมการณ์ทางการเมือง 2 ค่ายคือ ประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์ และการเผชิญหน้านี้เองจะถูกเรียกว่าสงครามเย็น (Cold War)” ถึงแม้ปัจจุบันสภาวะของสงครามเย็นได้ยุติลงด้วยความสูญเสียในระดับที่น้อยกว่าการสูญเสียในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีการสูญเสียชีวิตถึง 72 ล้านคน (รวมทั้งพลเรือนและทหารแยกฝ่ายสัมพันธมิตรสูญเสีย 61 ล้านคน และฝ่ายอักษะสูญเสีย 11ล้านคน) ในขณะที่สงครามเย็นมีการสูญเสียชีวิตคนไปหลายล้านคน (สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามสหภาพโซเวียต-อัฟกานิสสถาน ฯลฯ รวมแล้วก็หลายล้านคนแต่ไม่ถึง 72 ล้านคน) แต่การสูญเสียในสงครามเย็นก็สามารถกล่าวได้ว่ามีการสูญเสียในระดับที่สูงคือระดับที่เป็นหลักล้านชิวิตเหมือนกัน
ในช่วงสงครามเย็นนั้นไม่เพียงแต่จะมีการสูญเสียชีวิตไปในระดับที่เป็นหลักหลายล้านคนแล้ว สิ่งที่จะนำไปสู่ความหายนะของมวลมนุษย์ชาติ ด้วยความเสี่ยงที่เกือบจะเกิดการโจมตีจากแต่ละฝ่ายด้วยอาวุธนิวเคลียร์หลายครั้ง ดังเช่น กรณีวิกฤตการขีปนาวุธคิวบาในห้วง 14 – 28 ต.ค.2505 (Cuban Missile Crisis) หรือกรณีของเรือดำน้ำ B-59 ชั้น Foxtrot ของสหภาพโซเวียต ที่เกือบจะทำการยิงขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์เนื่องจากเข้าใจว่าเกิดสงครามระหว่างสหภาพโซเวียตกับสหรัฐฯในวันที่ 27 ต.ค.2505 ในห้วงเวลาเดียวกันกับวิกฤตการขีปนาวุธคิวบา ซึ่งก็นับว่าเป็นความโชคดีของมวลมนุษย์ชาติที่ยังคงสามารถดำรงเผ่าพันธุ์เอาไว้ได้ เพราะความเสี่ยงที่เกิดจากกระบวนการตัดสินใจกดปุ่มปล่อยอาวุธของคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
         


               คำว่าสงครามเย็น (Cold War) นั้นเริ่มมีใช้ครั้งแรกในคริสตศตวรรษที่ 13  โดยนักเขียนชาวสเปน ชื่อ Don Juan Manuel โดยใช้คำภาษาสเปนคือ “Guerra Fria” ซึ่งมีความหมายว่า “Cold War” แสดงถึงสภาวะความขัดแย้งระหว่าง ศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ในขณะนั้น (ยุคมืด) และในลำดับต่อมาในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2581 (ค.ศ.1938) ในวารสารเดอะเนชั่น (The Nation) ได้มีการใช้คำว่าว่า “Hitler’s Cold War” หรือ ถอดความเป็นภาษาไทยได้ว่าสงครามเย็นของฮิตเลอร์” [2] ส่วนคำว่า “Guerra Fria” ได้ปรากฏอีกครั้งในงานเขียนของ Luis Garcia Arias ในบทความชื่อ El Concepto de Guerra y la Denominada "Guerra Fria" ในปี พ.ศ.2499 (ค.ศ.1956) [3]
           สำหรับความหมายของคำว่าสงครามเย็นในพจนานุกรมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้ให้ความหมายไว้ว่าสภาวะความตึงเครียดและความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างรุนแรงระหว่างมหาอำนาจตะวันตกกับค่ายคอมมิวนิสต์ของยุโรปตะวันออก   ส่วนคำว่าสงครามเย็นในความหมายที่เข้าใจกันในปัจจุบันที่ว่า สงครามเย็นเป็นสภาวะความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ 2 ประเทศที่แบ่งออกเป็น 2 ขั้วอำนาจคือ สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต นั้นมีการกล่าวถึงครั้งแรกโดย Bernard Baruch นักการเงินสหรัฐฯ ผู้เคยเป็นที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจให้กับประธานาธิบดี Woodrow Wilson และประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 โดย ได้ไปกล่าวสุนทรพจน์ที่มลรัฐเซาธ์แคโรไลนา เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2490 ได้กล่าวไว้ในสุนทรพจน์ของเขาในประโยคที่ว่า "We are today in the midst of a cold war." หรือถอดใจความเป็นภาษาไทยได้ว่า วันนี้เราอยู่ท่ามกลางสงครามเย็น  และหลังจากนั้นก็เริ่มมีการใช้คำว่า Cold War หรือ สงครามเย็น แทนสภาวะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตร กับสหภาพโซเวียต และพันธมิตร
การเกิดขึ้นของสงครามเย็นนั้นยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ทั้งนี้เพราะนักประวัติศาสตร์บางส่วนจะกล่าวว่าสงครามเย็นเริ่มขึ้นในห้วงเวลาหลังสงครามเย็น ในขณะที่อีกส่วนกล่าวว่าสงครามเย็นเริ่มเกิดขึ้นและก่อเค้าลางมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลง อย่างไรก็ดีการจะกำหนดให้แน่ชัดว่าเกิดขึ้นในห้วงเวลาใดนั้นคงเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ยาก และต้องย้อนกลับไปพิจารณาที่คำจำกัดความและคำนิยามที่ให้ใว้ในแต่ละฝ่าย แต่ไม่ว่าสงครามเย็นจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าภาพความชัดเจนของสงครามเย็นจะปรากฏชัดเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังจะยุติลง
           หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยุติลงความเสียหายอย่างหนักได้เกิดขึ้นกับทุก ๆ ประเทศที่เข้าร่วมในการทำสงครามไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพันธมิตรหรือฝ่ายอักษะ จะมีแต่เพียงสหรัฐฯ และรัสเซีย 2 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 และด้วยปัจจัยนี้เองจึงส่งผลให้สหรัฐฯ และรัสเซียก้าวขึ้นเป็นประเทศมีอิทธิพลเป็นประเทศมหาอำนาจของสังคมโลกในห้วงเวลาดังกล่าว แต่ด้วยความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมือง สังคมโลกจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มประเทศที่มีระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตยมีสหรัฐฯ เป็นประเทศนำ และ กลุ่มประเทศที่มีระบอบการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์มีรัสเซียเป็นประเทศนำ และจากการแบ่งขั้วออกเป็น 2 ขั้วนี้เองได้ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยความตึงเครียดที่เกิดขึ้นนั้นยังคงไปไม่ถึงระดับของความขัดแย้งที่มีการใช้กำลังทหารเข้าทำสงครามในลักษณะของสงครามใหญ่ ๆ ซึ่งสภาวะนี้เองถูกเรียกว่าสงครามเย็น
           การดำเนินการของแต่ละขั้วในช่วงสงครามเย็นจะมีการดำเนินการในวิธีต่าง ๆ เช่น การขยายกลุ่มอำนาจโดยใช้อุดมการณ์ โดยทำการโฆษณาชวนเชื่อ การให้ความช่วยหลือทางด้านเศรษฐกิจ การสร้างอิทธิพลทางการเมือง การใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ การใช้เครื่องมือทางทหาร เป็นต้น นอกจากนี้การดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตยังจะเป็นสิ่งที่เพิ่มระดับของความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ ช่วงก่อนทศวรรษที่ 1980 และช่วงหลังทศวรรษที่ 1980
นโยบายการต่างประเทศในช่วงก่อนทศวรรษที่ 1980 ของสหภาพโซเวียตคือการสร้างความมั่นคงให้กับระบบคอมมิวนิสต์ทั้งภายในและภายนอกสหภาพโซเวียต ซึ่งรวมถึงหมู่ประเทศพันธมิตรที่อยู่ภายใต้อาณัติของสหภาพโซเวียตด้วย ในขณะที่สหรัฐฯ นั้นมีความชัดเจนที่จะดำเนินการวิธีใด ๆ ก็ตามที่สามารถสกัดกั้นการแพร่ขยายของสัทธิคอมมิวนิสต์ และในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 จนมาถึง ในสมัยต้นทศวรรษที่ 1990 สหรัฐ ฯ ได้มีนโยบายการต่างประเทศกับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ผ่อนคลายลง ดังเช่น สหรัฐอเมริกาได้มองเห็นว่าจีนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากในเอเชียตะวันออก จึงเริ่มเปิดศักราชใหม่แห่งความสัมพันธ์กับจีน หรือ นโยบายในการยินยอมให้มีการเจรจาลดอาวุธนิวเคลียร์ลง ในขณะเดียวกันสหภาพโซเวียตก็มีท่าที่ผ่อนคลายลงเหมือนกัน มีการเปิดประเทศให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นที่รู้จักกันในชี่อ กลาสนอสท์ (Glasnost) และปรับนโยบายทางด้านเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นขึ้น ที่รู้จักกันในชื่อ เปเรสตรอยกา (Perestroika) หรืออย่างกรณีของ การเชิญ ด.ญ. Samantha Smith ผู้ซึ่งมีอายุ 10 ปีในขณะนั้น ไปเยี่ยมสหภาพโซเวียต หลังจากที่เธอเขียนจดหมายแสดงถึงความกลัวในสงครามนิวเคลียร์ส่งไปยัง ประธานาธิบดี Yuri Andropov ของสหภาพโซเวียต และประธานาธิดี Yuri ได้ตอบจดหมายเป็นการส่วนตัวด้วยต้นเองเชิญ ด.ญ. Samantha ไปเยี่ยมสหภาพโซเวียต การกระทำครั้งนี้ของประธานาธิบดี Yuri ได้รับการกล่าวขานในหมู่นักการเคลื่อนไหวทางสันติภาพและทำให้บรรยากาศความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง
           ความขัดแย้งสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็นนั้นจะประกอบไปด้วย
           * ปัญหาความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับเยอรมัน: ในช่วงที่เยอรมันกำลังจะพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายพันธมิตรหลายประเทศพยายามที่จะกรีฑาทัพเข้าสู่เยอรมันทั้งนี้เพื่อถือโอกาสยึดครองพื้นที่ของเยอรมันเมื่อสงครามโลกยุติลงในการตักตวงผลประโยชน์จากค่าปฏิกรสงคราม ซึ่งเมื่อสงครามยุติลงมี 4 ประเทศเข้ายึดครองเยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐฯ และ สหภาพโซเวียต โดย อังกฤษ ฝรั่งเศส และ สหรัฐฯพยายามที่สถาปนาดินแดนเยอรมันทั้งหมดเข้าด้วยกันแต่สหภาพโซเวียตไม่ยินยอม จึงทำให้ อังกฤษ ฝรั่งเศส และ สหรัฐฯรวมดินแดนเยอรมันที่ตนเองยึดครองไว้เข้าด้วยกันเป็น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน (เยอรมันตะวันตก) ส่วนดินแดนที่สหภาพโซเวียตยึดครองสถาปนาเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน (เยอรมันตะวันออก) เมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2492 (ค.ศ.1949) โดยทั้งสองประเทศแบ่งเมืองหลวงออกเป็นส่วนคือ เบอร์ลินตะวันออก และเบอร์ลินตะวันตก และสิ่งที่ตามมาคือการสร้างกำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall) (ในภาเยอรมันเรียกว่า Berliner Mauer) เป็นกำแพงที่กั้นเบอร์ลินตะวันตก ออกจากเยอรมนีตะวันออกโดยรอบ เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) เพื่อจำกัดการเข้าออกระหว่างเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตก โดยกำแพงเบอร์ลินนี้ได้ถูกสร้างไว้เป็นระยะเวลา 28 ปี ก่อนจะทลายลงในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ.1989) เยอรมันทั้งสองประเทศได้ผนวกเข้าเป็นประเทศเดียวกัน ซึ่งถือกันว่าเป็นการสิ้นสุดยุคสงครามเย็น เพราะกำแพงเบอร์ลินถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็น [6] ในระหว่างที่กำแพงยังตั้งอยู่นั้น มีความพยายามหลบหนีข้ามเขตแดนราว 5,000 ครั้ง มี 192 คนถูกฆ่าระหว่างการหลบหนี และอีกประมาณ 200 คนบาดเจ็บสาหัส ในช่วงแรกนั้น การหลบหนีเป็นไปอย่างไม่ยากนัก เนื่องจากกำแพงในช่วงแรกเป็นเพียงรั้วลวดหนามเตี้ย ๆ และบางส่วนก็กระโดดออกมาทางหน้าต่างของตึกที่อยู่ติดกับกำแพง แต่ไม่นานนักกำแพงก็เปลี่ยนเป็นคอนกรีตที่แน่นหนา ส่วนหน้าต่างตึกต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับกำแพงก็ถูกก่ออิฐปิดตาย [7]
           * สงครามเกาหลี: เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง เกาหลีเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศโดยใช้เส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นแบ่งเขต โดยเกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ ส่วนเกาหลีใต้ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ต่อมาเมื่อ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2493 (ค.ศ.1950) ได้เกิดสงครามเกาหลีขึ้น เมื่อกำลังทหารเกาหลีเหนือทำการรุกข้ามเส้นขนานที่ 38 ลงมา และเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2493 (ค.ศ.1950) สามารถยึดกรุงโซลได้ สหประชาชาติได้มีมติให้นำกำลังทหารเข้าช่วยเกาหลีใต้ ภายใต้การนำของสหรัฐฯ (มีกำลังทหารจากประเทศไทยเข้าร่วมด้วย) เมื่อกำลังสหประชาชาติเข้าไปช่วยเหลือเกาหลีใต้ ทำให้จีนเคลื่อนย้ายกำลังพลเข้สู่พื้นที่การรบตามมา ในสงครามเกาหลีตลอดห้วงเวลาร่วม 3 ปีที่แต่ละฝ่ายทำการรบกันคือตั้งแต่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) ถึง 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) นั้น หลังจาก นับตั้งแต่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2494 (ค.ศ. 1951) [8] เป็นต้นมา การสู้รบด้วยกำลังทหารขนาดใหญ่แทบจะไม่เกิดขึ้นอีก ทำให้มีความพยายามที่จะเจรจาสงบศึกกันของทั้งสองฝ่าย โดยการเจรจายุติสงครามครั้งแรกเกิดขึ้นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองเคซอง เมื่อ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2494 (ค.ศ. 1951) ต่อมาได้ย้ายไปเจรจากันที่ ตำบลปันมุมจอม (Punmumjom) ข้อตกลงสงบศึกที่ปันมุมจอมนี้เป็นผลจากการเจรจาที่ยืดเยื้อถึง 255 ครั้ง ใช้เวลา 2 ปี 17 วัน[9] ในสงครามเกาหลีนี้ มีผู้สูญเสียจากการรบกว่า 4 ล้านคน ทั้งทหารและพลเรือน [10]
           * สงครามในอินโดจีน: สถานการณ์ในอินโดจีนในห้วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 จวบจนสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงนั้นมีความร้อนแรงไม่แพ้ภูมิภาคด้านอื่น ๆ โดยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรอินโดจีนหลัก ๆ จะเป็นประเทศเวียดนาม ลาว กัมพูชา ซึ่งเคยเป็นประเทศอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส นอกจากนี้ ประเทศไทยและพม่าก็ยังเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามสถานการณ์ในห้วงสงครามเย็น
           - เวียดนาม: สถานการณ์เริ่มมาจากขบวนการเวียดมินห์ภายใต้การนำของ โฮจิมินห์ ได้เคลื่อนไหวต่อต้านฝรั่งเศสและญี่ปุ่นที่เข้ายึดครองเวียดนามในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ฝรั่งเศสได้กลับเข้าไปมีอำนาจในคาบสมุทรอินโดจีน ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านฝรั่งเศสอีกครั้ง โฮจิมินห์ได้ร้องขอให้สหรัฐฯช่วยเหลือในการเจรจากับฝรั่งเศสแต่สหรัฐฯได้นิ่งเฉยเพราะมีความเกรงใจฝรั่งเศส โฮจิมินห์จึงได้เปลี่ยนไปร้องขอความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตและจีนแทน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับและได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี และสถานการณ์ในคาบสมุทรอินโดจีนได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่อขบวนการเวียดมินห์ที่เดียนเบียนฟู [11] ส่งผลให้ เวียดนาม ลาว เขมรได้รับเอกราช และด้วยความพ่ายแพ้นี้เองทำใหฝรั่งเศสต้องถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้ สหรัฐฯ จึงได้ถือโอกาสนี้เข้ามามีบทบาทแทนฝรั่งเศสในภูมิภาคทางเวียดนามใต้นี้
การเข้าไปมีอิทธิพลในเวียดนามใต้ได้นำไปสู่การเกิดขึ้นของขบวนการ เวียดกง ซึ่งการต่อต้านนี้ได้สถานการณ์ได้ลุกลามไปสู่สงครามจำกัด (Limited War) ที่รู้จักกันในชื่อ สงครามเวียดนามโดยการสู้รบในสงครามเวียดนามได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการทำสงครามสมัยใหม่ด้วยบทเรียนราคาแพงของสหรัฐฯ นำมาซึ่งการถอนตัวออกจากภูมิภานี้เมื่อ สหรัฐฯ ไม่สามารถสร้างชัยชนะขึ้นได้ในดินแดนเวียดนาม สหรัฐฯได้ใช้เวลานานหลายปี ใช้กำลังพลมหาศาล กองทัพที่เกรียงไกรมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย แต่สูญเสียกำลังพลเกือบจะ 6 หมื่นคนในขณะที่เวียดนามสูญเสียคนไปหลายล้านคน (ในสงครามเวียดนามไทยสูยเสียทหารไป 351 นาย) [12] ในที่สุดสหรัฐฯได้ถอนกำลังทหารออกไปจากภูมิภาคนี้ด้วยปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศของตนเอง ทำให้เวียดนามรวมประเทศเวียดนามเหนือและใต้และปกครองภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ ต่อมาในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน สหรัฐฯได้ประกาศฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ ฯ และเวียดนามขึ้นอีกครั้ง
                - ลาว: หลังจากฝรั่งเศสได้ถอนตัวไปจากภูมิภาคนี้ไปพร้อม ๆ กับการได้รับเอกราชของลาว แต่สถานการณ์ไม่ได้สงบเรียบร้อยตามมาเมื่อ ขบวนการกู้ชาติที่มีความนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่ยอมรวมกับฝ่ายรัฐบาลที่นิยมประชาธิปไตย (เป็นรัฐบาลที่ฝรั่งเศสได้จัดตั้งก่อนจะถอนทหารออก) เลยส่งผลให้สงครามในลาวที่ต่อสู้เพื่อเอกราชเปลี่ยนสถานภาพไปสู่สงครามระหว่างลัทธิ โดยสหรัฐฯได้ให้การสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล ในขณะที่ฝ่ายขบวนการกู้ชาติได้รับการสนับสนุนจากพวกเวียดมินห์ แต่ฝ่ายรัฐบาลได้พ่ายแพ้เมื่อสหรัฐฯถอนกำลังออกจากภูมิภาคนี้ ฝ่ายลาวสูญเสียไปประมาณ 5 หมื่นคน
                - กัมพูชา: เมื่อกัมพูชาได้รับเอกราชหลังจากความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสในเดียนเบียนฟู ได้ดำเนินนโยบายเป็นกลางเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์รอบ ๆ ประเทศพร้อม ๆ กับรับการช่วยเหลือจากทุกฝ่ายทั้งโลกประชาธิปไตยและโลกคอมมิวนิสต์ ต่อมาเมื่อสหรัฐฯไม่สามารถควบคุมการดำเนินการต่างของเจ้าสีหนุในขณะนั้นได้ ทำให้สหรัฐฯสนับสนุนให้มีการปฏิวัติรัฐประหารขึ้น ทำให้เจ้าสีหนุลี้ภัยไปกรุงปักกิ่งและจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นและร่วมมือกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่รู้จักกันในชื่อเขมรแดง (Khmer Rouge) หรือที่รู้จักกันในชื่อ พรรคคอมมิวนิสต์เขมร” (Khmer Communist Party) หรือ กองทัพแห่งชาติกัมพูชาประชาธิปไตย” (National Army of Democratic Kampuchea) คือ พรรคการเมืองกัมพูชาที่นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ปกครองราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งในขณะนั้นถูกเปลี่ยนชื่อเป็นกัมพูชาประชาธิปไตย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ถึง พ.ศ. 2522 [13] ในที่สุดเมื่อสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้รัฐบาลกัมพูชาได้พ่ายแพ้ต่อเขมรแดงและกัมพูชาได้เปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นระบอบสังคมนิยม ในความขัดแย้งนี้มีผู้เสียชีวิตระหว่างสงครามกว่า 7 หมื่นคน และเสียชีวิตเมื่อเขมรแดงที่นำโดยนายพลพต เข้ายึดครองกัมพูชาอีกกว่า 1.5 ล้านคน
                - ไทย: ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นแนวความคิดในเรื่องของการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ได้เริ่มแพร่หลายเข้ามายังประเทศไทย เมื่อ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2485 พรรคคอมมิวนิสต์ไทยได้ถือกำเนิดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์คือ ต่อต้านญี่ปุ่นโดยประสานกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงการเคลื่อนไหวของพรรคมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มแรกเดิมทีได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามต่อมาได้รับการสนับสนุนจากประเทศจีน การขยายตัวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้ส่งผลให้การดำเนินการของรัฐบาลในสมัยนั้นทำการปราบปรามอย่างรุนแรง มีการออกกฏหมายคือ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ซึ่งมีโทษที่รุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต เมื่อ 6 กรกฎาคม 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สั่งประหารชีวิต นายศุภชัย ศรีสติ ข้อมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และด้วยการปราบปรามอย่างหนักนี้เองได้ส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ นำไปสู่ขั้นการทำสงครามปฏิวัติในที่สุด เมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ได้เกิดการปะทะที่หมู่บ้านนาบัว ต.เรณู อ.ธาตุพนม จังหวัด นครพนม ระหว่างกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกับตำรวจส่งผลให้ เกิดการสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย การเริ่มขั้นสงครามปฏิวัติในครั้งนี้รู้จักกันในนามวันเสียงปืนแตก
                เมื่อการปราบปรามคอมมิวนิสต์ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทำให้มีผู้คนการหลบหนีเข้าป่าเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ทำให้การต่อสู้ขยายตัวออกเป็นวงกว้าง เมื่อสหรัฐฯถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้ทำให้หลายฝ่ายมีความเชื่อประเทศไทยจะรอดพ้นจากการล้มล้างระบอบการปกครองไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ เพราะตั้งแต่การถอนตัวออกจากเวียดนามของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาถอนกำลังหน่วยสุดท้ายออกจากเวียดนามใต้เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2516 ต่อมาเมื่อ 1 มกราคม 2518 กรุงพนมเปญเมืองหลวงของเขมร ตามมาด้วยกรุงไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียดนามใต้ แตกเมื่อ 30 เมษายน 2518 และกรุงพนมเปญได้แตกอีกครั้ง เมื่อ พล.อ.เทียนวันดุง ของเวียดนามได้นำกำลังกว่า 20 กองพล เข้ายึดเขมร เมื่อ 7 มกราคม 2522 หรือที่รู้จักกันในนาม ยุทธการบัวบาน และนักการทหารหลายคนมีความเชื่อว่า หลังจากเขมรแตกแล้วมีความเป็นไปได้ที่เวียดนามจะทำการรุกต่อมายังไทย การที่ประเทศต่าง ๆ แตกกันเป็นทอด ๆ นี้เองทำให้มีนักวิชาการไปกำหนดเป็นแนวคิดที่เรียกว่าทฤษฏีโดมิโน โดยประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในความเชื่อที่ว่าจะแตกเป็นประเทศต่อไปในแนวคิดของทฤษฏีโดมิโน เพราะกำลังพลมหาศาลของเวียดนามที่เคลื่อนเข้ามาประชิดชายแดนไทย ทำให้เป็นการยากที่ประเทศไทยจะต้านทาน [14]
                ในที่สุดรัฐบาลได้อาศัยความร่วมมือกับประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ในการปราบคอมมิวนิสต์ในประเทศ ซึ่งประเทศนั้นคือประเทศจีน เป็นที่ทราบกันดีว่าการก่อความไม่สงบไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดจะสามารถดำเนินการต่อไปได้จะต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้การสนับสนุน และในยุคนั้นจีนสามารถกล่าวได้ว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนรายใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เมื่อประเทศไทยสามารถเจรจาขอให้จีนยุติการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้ ประเทศไทยเริ่มดำเนินการกดดันโดยใช้กำลังทหารอย่างหนัก พร้อมทั้งออกนโยบายรองรับให้ผู้หลงผิดวางอาวุธกลับมาเป็นผู้พัฒนาชาติไทย และนโยบายดังกล่าวคือ คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 66/23 เรื่อง นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ และ คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 65/25 เรื่อง แผนรุกทางการเมือง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวได้นำพาประเทศไทยไปสู่บรรยากาศแห่งความปรองดองแห่งชาติในที่สุด






สงครามเย็น-การเกิดและการดับของสงครามเย็น ตอนจบ
           การเข้ายึดครองอัฟกานิสถานของสภาพโซเวียต: เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม พ.ศ.2516 (ค.ศ.1973) Mohammad Daoud Khan หลานของกษัตริย์ Mohammad Zahir Shah ของอัฟกานิสถาน ได้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์อัฟกานิสถาน (People's Democratic Party of Afghanistan: PDPA) ทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากกษัตริย์ Shah และได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดี [1] ซึ่งต่อมาได้สถาปนาสาธารณรัฐอัฟกานิสถาน และได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ ในปี พ.ศ.2521(ค.ศ.1978) [2] โดยได้ปลดฝ่ายตรงข้ามที่น่าสงสัยออกจากรัฐบาลอันนำไปสู่การนองเลือด และ ประธานธิบดี Khan ได้เสียชีวิตจากการนองเลือดในครั้งนั้น และ Nur Muhammad Taraki ผู้ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรค PDPA ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี โดยมี Hafizullah Amin เป็นรองประธานาธิบดี อย่างไรก็ดีได้มีความแตกแยกภายในพรรค PAPD โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ต่อมา ในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979) รองประธานาธิบดี Amin ได้ทำการยึดอำนาจ จากประธานาธิบดี Taraki หลังจากที่ Taraki เป็นประธานาธิบดีได้ประมาณ 18 เดือน ผลคือ Amin ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี และ ประธานาธิบดี Taraki เสียชีวิตจากการยึดอำนาจดังกล่าว
         ประธานาธิบดี Aim เมื่อก้าวขึ้นมามีอำนาจได้เริ่มคุกคามสมาชิกพรรค PAPD จำนวนมากด้วยการกล่าวหาและจับกุม ทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัวและโกรธเกลียด ประธานาธิบดี Aim เป็นจำนวนมาก ผู้ที่รอดจากการคุกคามของประธานาธิบดี Aim ต่างก็หลบหนีออกไปรอบ ๆประเทศเช่น ปากีสถาน หรือ อิหร่าน และในที่สุดคือการนำไปสู่การเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มต่อต้านเอง ประธานาธิบดี Aim ได้สั่งการให้ปราบปรามกลุ่มต่อต้านอย่างหนัก แต่ยิ่งปราบปรามยิ่งมีกลุ่มต่อต้านเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ประธานาธิบดี Aim เริ่มหันไปหาประเทศที่จะสามารถให้การสนับสนุนเขาในการปราบปรามได้ ซึ่งก็ไม่มีประเทศใดให้การสนับสนุน
        ประธานาธิบดี Aim จึงหันไปหาสหภาพโซเวียต ทางสหภาพโซเวียตได้ส่งความช่วยเหลือทางทหารซึ่งนำไปสู่ การเคลื่อนย้ายกำลังเข้าไปอยู่ในอัฟกานิสถาน พร้อมกับที่ปรึกษาทางทหาร แต่ภาพของประธานาธิบดี Aim ได้ปรากฏเด่นชัดคือ ต่อต้านรัฐอิสลาม เน้นการผสมผสานประกอบกับ KGB รายงานว่าประธานาธิบดี Aimเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารประธานาธิบดี Taraki โดยหน่วยรักษาความปลอดภัยของประธานาธิบดี Aim 2 คนเป็นผู้สังหาร และยังมีรายงานว่าประธานาธิบดี Aim ได้มีการประชุมลับกับ CIA ทำให้สหภาพโซเวียตเริ่มมอง ประธานาธิบดี Aim เป็นสายลับของ CIA
        ประธานาธิบดี Aim เริ่มรู้ตัวว่าสหภาพโซเวียตไม่ไว้ใจตนเอง จึงระมัดระวังแม้กระทั่งอาหารยังต้องสับเปลี่ยนหลอกล่อจนในที่สุดลูกเขยของประธานาธิบดี Aim ได้รับพิษจนถึงขั้นบาดเจ็บอย่างรุนแรง เนื่องจาก KGB ได้ส่งสายลับ Mitalin TalyBov ลอบเข้าไปเป็นหัวหน้าพ่อครัวของประธานธิบดี ต่อมาเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979) ที่ปรึกษาทางทหารของสหภาพโซเวียตได้แนะนำให้กองทัพอัฟกานิสถานนำรถถังและยุทโธปกรณ์สำคัญเข้ารับการปรณนิบัติบำรุงตามวงรอบ รวมถึงระบบโทรคมนาคมที่เชื่อมต่อออกไปนอกกรุงคาบูลชำรุดต้องได้รับการซ่อมแซม ทำให้กรุงดาบูลถูกโดเดี่ยว ฝ่ายบริหารจึงให้ประธานาธิบดี Aim ย้ายจากที่ทำงานในกรุงดาบูลไปยังพระราชวัง Tajbeg ด้วยความเชื่อว่าจะปลอดภัยเมื่อ กองกำลังของสหภาพโซเวียตบุกเข้าสู่อัฟกานิสถาน แต่สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่ดาดหวังนัก เมื่อ สหภาพโซเวียตฯ ได้ส่งกำลังส่งทางอากาศเข้าสมทบกับกำลังภาคพื้นของตนเองที่กรุงคาบูลในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979) หลังจากย้ายเข้าไปพำนักในพระราชวัง Tajbeg ได้เพียง 5 วัน
        ทหารสหภาพโซเวียตฯ ประมาณ 700 นาย จาก KGB OSNAZ (Alpha Group) และ GRU SPETSNAZ ซิ่งเป็นหน่วยรบพิเศษของสหภาพโซเวียตฯ จาก Alpha Group และ Zenith Group เข้าทำการยึดสถานที่สำคัญทางราชการ หน่วยทหาร สถานีวิทยุโทรทัศน์ ในกรุงคาบูล และยังบุกเข้าไปยังพระราชวัง Tajbeg โดยการปฏิบัติการทางทหารในครั้งนี้เริ่มต้นเมื่อเวลา 1900 ของวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979) หน่วยรบพิเศษสหภาพโซเวียต (Spetsnaz) ได้ทำการระเบิดศูนย์การการติดต่อสื่อสารของกรุงคาบูลทำให้การทำให้กรุงคาบูลกลายไปเป็นอัมพาตไป ต่อมาเวลา 1915 การบุกเข้าสู่พระราชวัง Tajbeg ได้เริ่มขึ้น และการปฏิบัติการยุติลงเมื่อตอนเช้าของวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979) พร้อมกับประธานาธิบดี Aim และหน่วยรักษาความปลอดภัย 200 นายเสียชีวิต
        ผบ.กองกำลังทหารสหภาพโซเวียตที่เมืองเทอมิทธ์ (Termez) ซึ่งอยู่บริเวณชายแดนอัฟกานิสถานกับสหภาพโซเวียตฯ (ปัจจุบันคือบริเวณของ อุซเบกิสถาน) ได้ประกาศผ่านทางวิทยุกระจายเสียงกรุงคาบูลว่าอัฟกานิสถานได้รับอิสระภาพจากอำนาจของประธานาธิบดี Aim แล้วย้อนกลับไปวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979) กองกำลังทางบกของสหภาพโซเวียตภายใต้การควบคุมของ จอมพล Sergei Sokolov ได้สั่งเคลื่อนย้ายกำลังเข้าสู่อัฟกานิสถานผ่านทางตอนเหนือ ตอนเช้าวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979) กองพลส่งทางอากาศ ที่ 103rd Guards 'Vitebsk' ได้ทำการเคลื่อนที่ทางอากาศไปยังสนามบินที่บากราม และกำลังทางบกที่เคลื่อนที่ตามเข้าสู่อัฟกานิสถานจะประกอบไปด้วย กำลังพลภายใต้ กองทัพที่ 40 ของสหภาพโซเวียตฯ ที่ประกอบกำลังไปด้วย พล.ร.ยานยนต์ที่ 5 พล.ร.ยานยนต์ที่ 108 ร.ยานยนต์ ที่ 860 (หย่อนกำลัง) พล.น้อย ส่งทางอากาศที่ 56 (หย่อนกำลัง) และ กองทัพอากาศผสมที่ 36 นอกจากนี้ยังมีกำลังตามมาสมทบอีกคือ พล.ร.ยานยนต์ที่ 58 และ พล.ร.ยานยนต์ที่ 201 และหน่วยทหารขนาดเล็กอีกจำนวนหนึ่ง สรุปโดยภาพรวมแล้วใช้กำลังพลในขั้นต้นประมาณ 80,000 นาย รถถัง 1,800 คัน และอากาศยานประมาณ 2,000 ลำ และในเฉพาะสัปดาห์ที่ 2 นั้นสหภาพโซเวียตได้ใช้เที่ยวบินไปยังกรุงคาบูลกว่า 4,000 เที่ยว ในที่สุดช่วงต้นของสงครามสหภาพโซเวียตฯ มีกำลังพลอยู่ในอัฟกานิสถานกว่า 100,000 นาย
        การเข้ายึดครองอัฟกานิสถานของสหภาพโซเวียตฯ นั้นสหภาพโซเวียตฯ ได้ทุ่มกำลังทหาร และทรัพยากรทางทหารจำนวนมากเข้าไปสู่อัฟกานิสถาน แต่การยึดครองก็ไม่ได้ง่าย สะดวก และดูโสภานัก เมื่อกองกำลังของสหภาพโซเวียตได้เผชิญกับกลุ่มต่อต้าน ที่ใช้แนวความคิดในเรื่องของสงครามกองโจรเข้าทำการต่อกรกับกองทัพอันเกรียงไกรที่มียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยอย่างครบครันในลักษณะของสงครามอสมมาตร โดยการเผชิญกันครั้งนี้ระหว่างสหภาพโซเวียตฯ กับ กลุ่มต่อต้านที่ชื่อมูจาฮิดีนซึ่งมูจาฮิดีนนั้นได้รับการสนับสนุนจากประเทศหลายประเทศ คือ สหรัฐฯ ปากีสถาน ซาอุดิอาระเบีย อังกฤษ จีน และประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ การดำเนินการโดยใช้สงครามตัวแทน (Proxy War) นี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบของการความขัดแย้งในยุคสงครามเย็น ในระหว่างที่สหภาพโซเวียตฯ เข้ายึดครองมีการปฏิบัติการทางทหารทั้งหมด 4 ขั้นตอนคือ [3]
        1) ขั้นที่ 1 เข้ายึดครอง (ธันวาคม พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979) – กุมภาพันธ์ พ.ศ.2523 (ค.ศ.1980)): เป็นช่วงต้นของการเข้ายึดครองด้วยการเคลื่อนย้ายกำลังเข้าสู่อัฟกานิสถานทางบก 2 ทางและทางอากาศ 1 ทาง แต่สหภาพโซเวียตฯ สามารถยึดพื้นที่ได้อย่างจำกัดเนื่องจากเผชิญกับการต่อต้าน
        2) ขั้นที่ 2 การรุก (มีนาคม พ.ศ.2523 (ค.ศ.1980) – เมษายน พ.ศ.2528 (ค.ศ.1985)): เมื่อเผชิญกับการต่อต้านต่อต้านจากลุ่มต่างๆ สหภาพโซเวียตฯ จึงทำการยึดครองเมืองสำคัญ พื้นที่ยุทธศาสตร์ และ พื้นที่เป็นศูนย์กลางการสื่อสาร ในขณะที่กลุ่มต่อต้านมูจาฮิดีนได้แบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ กระจายกันทำสงครามกองโจร
        3) ขั้นที่ 3 ขั้นกำหนดยุทธศาสตร์ออกจากอัฟกานิสถาน (เมษายน พ.ศ.2528 (ค.ศ.1985) – มกราคม พ.ศ.2530 (ค.ศ.1987)): เมื่อ มิกาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหภาพโซเวียตฯ ทำให้นโยบายในอัฟกานิสถานเปลี่ยนไป จึงมีแนวความคิดที่จะถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถาน และโดยเริ่มโอนพื้นที่การรบให้กับกำลังของอัฟกานิสถาน
        4) ขั้นที่ 4 ขั้นถอนตัว (มกราคม พ.ศ.2530 (ค.ศ.1987) – กุมภาพันธ์ พ.ศ.2532 (ค.ศ.1989)): ในขั้นการถอนตัวของกองกำลังสหภาพโซเวียตฯ แบบกำลังออกเป็น 2 ส่วน กำลังส่วนแรกจะถอนตัวออกระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม - 16 สิงหาคม พ.ศ.2531 และกำลังส่วนที่ 2 ถอนตัวออกจากอัฟกานิสถานระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2532 (ค.ศ.1989) – 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2533 (ค.ศ.1990) โดยระหว่างที่กองกำลังของสหถาพโซเวียตฯ ถอนตัวนั้นไม่ได้ถูกรบกวนโดยกลุ่มมูจาฮิดีนเลย
        การถอนตัวออกจากอัฟกานิสถานเป็นการยุติบทบาทของสหภาพโซเวียตฯ ที่มีต่ออัฟกานิสถานการเผชิญหน้าของสหภาพโซเวียตฯ นั้นทำให้สหภาพโซเวียตฯ มีสภาพที่ไม่แตกต่างอะไรนักกับที่สหรัฐฯเผชิญในสงครามเวียดนาม สหภาพโซเวียตฯ ต้องติดอยู่ในอัฟกานิสถานนานร่วม 10 ปี ตั้งแต่ ธันวาคม พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979) จนถึง กุมภาพันธ์ พ.ศ.2532 (ค.ศ.1989) สหภาพโซเวียตฯ ได้สูญเสียทหารและเจ้าหน้าที่ไปร่วม 15,000 คน ในขณะที่ฝ่ายอัฟกานิสถานสูญเสียทหารและพลเรือนไปร่วม 1,000,000 คน [4]
        * การล่มสลายของสหภาพโซเวียต: หลังจากสตาลิน (Joseph Stalin) ประธานาธิบดีสหภาพโซเวียตฯ ถึงแก่กรรมใน พ.ศ.2496 (ค.ศ.1953) ผู้ที่ก้าวขึ้นมีอำนาจต่อคือ นิคิตา ครุสชอฟ (Nikita Khrushchev) ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ก็ตามดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพโซเวียตฯ กับจีน โดยสหภาพโซเวียตฯ ได้ขยายการช่วยเหลือจีนด้วยการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 200 แห่ง และเครื่องมือทางอุตสาหกรรมจำนวนมาก อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสหภาพโซเวียตกับจีนมีอันต้องเปลี่ยนไป ทั้งนี้เนื่องจาก ครุสชอฟ ได้ประกาศแก้ไขทบทวนคำสอนของคอมมิวนิสต์ในเรื่องสงครามกับการปฏิวัติ” [5] เพื่อนำไปใช้เป็นพื้นฐานในการลดกำลังทหารและอาวุธในนโยบายของคอมมิวนิสต์ในยุคนิวเคลียร์ นอกจากนี้ ครุสชอฟ ยังได้กล่าวตำหนิสตาลินอย่างรุนแรง ทำให้จีนไม่พอใจและเหมาเจ๋อตง ผู้นำจีนในขณะนั้นได้กล่าวว่าการตำหนิสตาลินของครุสชอฟเป็นความผิดพลาด” [6]
        ต่อมาเมื่อ พฤศจิกายน พ.ศ.2500 (ค.ศ.1957) สหภาพโซเวียตฯ ได้จัดการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกที่กรุงมอสโก ซึ่งถือว่าเป็นการพบกันระหว่างผู้นำคอมมิวนิสต์ทั่วโลกครั้งแรกหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง โดยการจัดการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้โลกคอมมิวนิสต์ยอมรับในแนวคิดใหม่ของครุสชอฟ ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และ การเปลี่ยนแปลงไปสู่ลัทธิสังคมนิมยมอย่างสันติวิธี ในการประชุมครั้งนั้นผู้นำจีน (เหมาเจ๋อตง) ไม่ได้แสดงออกถึงท่าทีว่ายอมรับหรือไม่ยอมรับในแนวคิดของครุสชอฟ นอกจากนี้ผู้นำจีน ยังได้ขอให้สหภาพโซเวียตถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ครุสชอฟ ต้องยอมเพื่อรักษาเอกภาพในโลกคอมมิวนิสต์
        ถัดมาในปี พ.ศ.2501 (ค.ศ.1958) ครุสชอฟ เดินทางไปเยือนจีนอย่างเร่งด่วน[49] ซึ่งไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริงแต่มีการคาดการณ์วาการเดินทางเยือนจีนครั้งนั้นของครุสชอฟ ได้ถูกขอร้องจากเหมาเจ๋อตง ให้ช่วยเหลือจีนบุกเกาะไต้หวัน แต่ครุสชอฟ คงไม่เห็นด้วย แต่เพื่อเป็นการรักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ในเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2502 (ค.ศ.1959) สหภาพโซเวียตฯ ได้ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของจีนครั้งใหญ่
        ต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2502 (ค.ศ.1959) จีนได้ประกาศว่าสหภาพโซเวียตฯ ได้ยกเลิกการช่วยเหลือเทคโนโลยีทางด้านการป้องกันประเทศ โดยข้อตกลงความช่วยเหลือนี้จะมีผลครอบคลุมถึงการที่สหภาพโซเวียตฯ จะต้องส่งตัวอย่างของอาวุธนิวเคลียร์ให้กับจีน การประกาศของจีนในครั้งนี้ถือได้ว่ามิตรภาพที่ดีงามที่เคยมีต่อกันนั้นได้ล่มสลายลง ทำให้เวทีระหว่างประเทศคอมมิวนิสต์หลายครั้งถัดมาเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างสหภาพโซเวียตฯ กับจีน และในปีถัดมา (พ.ศ.2503 (ค.ศ.1960)) ช่างเทคนิคและครอบครัวของชาวสหภาพโซเวียตฯ ที่พำนักอยู่ในจีนได้ทยอยเดินทางออกจากจีน
        ความขัดแย้งระหว่างสหภาพโซเวียตฯและจีนที่เริ่มต้นมาจากมุมมองที่ต่างกันลัทธิคอมมิวสิสต์ ได้ขยายวงออกไปจนเกิดแนวความคิดตะวันตกและคอมมิวนิสต์ตะวันออก ต่อมาเมื่อ ครุสชอฟ ได้หมดอำนาจลง คนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำคนต่อไปคือ เลโอนิด เบรซเนฟ (Leonid Brezhnev) ได้พยายามที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับจีนให้ดีขึ้นแต่เขายังคงไม่ละทิ้งแนวความคิดในการอยู่ร่วมกับตะวันตกอย่างสันติ ทำให้ในที่สุดจีนเองก็ได้กล่าวประนาม เบรซเนฟ อย่างรุนแรง และสถานการณ์ต่างๆ ไม่ได้ดีขึ้น ถึงแม้จะเปลี่ยนผู้นำไปอีกหลายคน เช่น ยูริ แอนโดรปอฟ (Yuri Andropov) คอนสแตนติน เชอร์เนนโก (Konstantin Chernenko) จนกระทั่งมาถึง มิคาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ที่ออกนโยบายต่างๆ เช่น การควบคุมเศรษฐกิจผ่านทางนโยบายกลาสนอสต์ (การเปิดกว้างทางการเมือง) เปเรสตรอยกา (การวางโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่) และอุสโคเรนิเย (การเร่งพัฒนาการทางเศรษฐกิจ) ทำให้สหภาพโซเวียตฯ หันไปมีความสนิทกับประเทศตะวันตกมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ที่มีความร่วมมือกันลดอาวุธนิวเคลียร์ที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ รวมถึงถอนกำลังออกจากยุโรปตะวันออกและอัฟกานิสถานและยังได้เข้าร่วมกับองค์การนาโต้ หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ
        ในเดือน ธันวาคม พ.ศ.2532 (ค.ศ.1989) ประธานาธิบดีจอร์จ บุช แห่งสหรัฐอเมริกา กับประธานาธิบดีกอร์บาชอฟ พบกันที่เกาะมอลตา ประกาศว่า สงครามเย็นสิ้นสุดลงแล้วอย่างเป็นทางการ ต่อมากลางปี พ.ศ.2533 (ค.ศ.1990) ประเทศในยุโรปตะวันออก พันธมิตรของสหภาพโซเวียตฯ เคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ส่งผลให้ระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกถึงกาลอวสาน [7]
        ในปี พ.ศ.2533 (ค.ศ.1990) กอร์บาชอฟได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และยังได้รับยกย่องจากนิตยสารไทม์เป็นบุรุษแห่งศตวรรษ(Man of the Decade) แต่ปัญหาขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค และความล้าหลังทางการผลิตที่สั่งสมมานานทำให้นโยบายเปเรสทรอยก้าล้มเหลว ความนิยมในกอร์บาชอฟเริ่มตกลง ต่อมาเกิดรัฐประหารขึ้นในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2534 (ค.ศ.1991) โดยกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวเก่าที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดเสรี แต่บอริส เยลต์ชิน สามารถกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ กอร์บาชอฟจึงสิ้นคะแนนนิยมอย่างแท้จริงและประกาศลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงประกาศยุบพรรคคอมมิวนิสต์และการสลายตัวของสหภาพเมื่อวันที่ 6 ธันวาคมปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ.1991) ต่อหน้ามหาชน ถือเป็นการอวสานของสหภาพโซเวียตฯ อย่างสิ้นเชิง
        ดังนั้นนโยบายทางเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตฯ ที่หันมาใช้แบบทุนนิยมของตะวันตก นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ.1985) การลงนามในสัญญาลดอาวุธและการค้ากับตะวันตก ถือได้ว่าเป็นการยุติสงครามเย็นที่ทั้งสองประเทศมหาอำนาจสู้รบกันมากว่า 40 ปี การเปลี่ยนแปลงนโยบายของกอร์บาชอฟ ทำให้ความตึงเครียดซึ่งปกคลุมโลกมานานกว่า 4 ทศวรรษ หายไปในช่วงเวลาเพียงคืนเดียวความจริงแล้วเมื่อมองย้อนไปถึงสมัยครุสชอฟเป็นผู้นำของโซเวียตจะเห็นได้ชัดเจนว่านโยบายอยู่รวมกันอย่างสันติกับกลายเป็นนโยบายที่กอร์บาชอฟนำมาใช้ให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนพร้อมกับการหายไปของสงครามเย็น



แหล่งที่มา
                                           www.file.siam2web.com/nanpolsc4/picture/2010718_57723.doc














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น