วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

( เรื่องที่ 3) สงครามโลกครั้งที่ 1


สงครามโลกครั้งที่ 1 world war I (ค.ศ. 1914 1918) หรือ (พ.ศ. 2457- 2461)
                                                                                                                                                                                                                    

 สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็นสงครามความขัดแย้งบนฐานการล่าอาณานิคม ระหว่างมหาอำนาจยุโรปสองค่าย คือ ฝ่ายไตรพันธมิตร (Triple Alliance) กับ ฝ่ายมหาอำนาจกลาง
ฝ่ายสัมพันธมิตร (Triple Alliance) หรือ ไตรพันธมิตร ประกอบไปด้วย ด้วย อังกฤษ  ฝรั่งเศสและรัสเซีย
ฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Triple Entente) ประกอบไปเยอรมนี    จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี
สาเหตุของสงคราม 
สมัย  ออทโท ฟอน บิสมาร์ค Otto von Bismarckเป็นผู้นำในการสร้างจักรวรรดินิยมเยอรมัน เมื่อ   บิสมาร์ค รบชนะฝรั่งเศส และประกาศจักรวรรดิเยอรมันแล้วจึงดำเนินการตั้ง The Three Emperor's League ซึ่งแสดงความเป็นสัมพันธมิตรระหว่าง เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และรัสเซีย ด้วยเจตนาสำคัญประการแรกคือ ป้องกันการแก้แค้นของฝรั่งเศส ต่อมาภายหลังเมื่อออสเตรีย-ฮังการี และรัสเซีย ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กัน จนมิอาจเป็นพันธมิตรต่อกันได้ บิสมาร์คจึงชักชวนอิตาลีเข้าแทนที่รัสเซีย จึงเกิด Triple Alliance ขึ้น
ครั้งบิสมาร์คหมดอำนาจลง จักรพรรดิเยอรมัน (Kaiser Wilhelm II) ทรงเลิกนโยบายเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย และสร้างความไม่พอใจให้อังกฤษด้วยการเริ่มโครงการขยายกองทัพเรือและขยายอิทธิพลดินแดนตะวันออก ฝรั่งเศสจึงได้โอกาสเสริมสร้างสัมพันธไมตรีกับรัสเซียและเข้าใจอันดีกับอังกฤษ และในที่สุดเมื่อทั้งสามมหาอำนาจตกลงในความขัดแย้งเรื่องอาณานิคมที่เคยมีต่อกันได้แล้ว จึงจัดตั้ง Triple Entente ในปี ค.ศ. 1907
ต่อมา เมื่อ อาร์คดยุคฟรานซิส เฟอร์ดินัลด์ (Archduke Francis Ferdinand) มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการีและพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเจโวในแคว้นบอสเนีย  เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 โดยนักศึกษาชาตินิยมชาวเซอร์เบีย ชื่อ กาวริลโล ปรินซิปGavrilo Princip รัฐบาลออสเตรีย-ฮังการี จึงตัดสินใจจะทำลายล้าง เซอร์เบีย ให้ราบคาบ และเมื่อได้รับแรงสนับสนุนจากเยอรมนี จึงยื่นข้อเรียกร้องที่เซอร์เบียไม่อาจยอมรับได้ ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย รัสเซียได้เข้าสนับสนุนเซอร์เบียและระดมพลเตรียมต่อสู้ เยอรมนีจึงได้เรียกร้องมิให้รัสเซียและฝรั่งเศสเข้ามาแทรกแซง ครั้นสองมหาอำนาจไม่ปฏิบัติตาม เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซียในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1914 และฝรั่งเศสในวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1914 ตามลำดับ
หลังจากเยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซียและฝรั่งเศสแล้ว ได้เคลื่อนกำลังพลเข้าละเมิดความเป็นกลางของประเทศเบลเยียมเพื่อขอเป็นทางผ่านในการบุกฝรั่งเศส อังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจของโลกจึงประกาศสงครามกับเยอรมนีในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 มหาอำนาจในยุโรปจึงเข้าสู่สงคราม ยกเว้นอิตาลีที่เข้าร่วมในปี ค.ศ. 1915
ฝ่ายเยอรมนี ออสเตรีย-อังการี อิตาลีได้ตุรกีและบัลแกเรียเป็นพันธมิตร ตุรกีเข้าโจมตีจักรวรรดิเปอร์เซีย บัลแกเรียเข้าผนวกโรมาเนีย แอลเบเนีย และโจมตี กรีซ ซึ่งต่อมาถูกเรียกโดยรวมว่าฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Central Powers) ส่วนอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม ฝ่ายพันธมิตร (the Allies)ได้ประเทศต่าง ๆ อีกหลายประเทศเข้าร่วม รวมทั้งประเทศในเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น แต่ในปี ค.ศ. 1917 รัสเซียได้ถอนตัวออกจากสงครามครั้งนี้ เนื่องจากเลนินผู้นำกลุ่มบอลเชวิคส์ทำการปฏิวัติทางการเมืองขึ้นในรัสเซีย และสหรัฐอเมริกาก็ได้เข้ามาแทนที่รัสเซีย หลังจากเยอรมนีประกาศจะใช้เรือดำน้ำทำลายเรือข้าศึกและเรือสินค้าของทุกชาติโดยไม่มีขอบเขต   สำหรับประเทศไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรเมื่อ วันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 โดยส่งทหารอาสาสมัครเข้าร่วมรบในสมรภูมิยุโรปจำนวน 1200 คน
ในช่วงแรกของสงคราม มหาอำนาจกลางเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่หลังจากที่อเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร พร้อมกับส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลเกือบ 5 ล้านคน ทำให้พันธมิตรกลับมาได้เปรียบและสามารถเอาชนะฝ่ายมหาอำนาจกลางได้  วันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ออสเตรียขอทำสัญญาสงบศึก และ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 เยอรมนีลงนามในสัญญาสงบศึก สงครามโลก ครั้งที่ 1 จึงได้ยุติลง    ต่อมาได้มีการทำสนธิสัญญาแวร์ซายในปีค.ศ. 1919) ณ พระราชวังแวร์ซายเป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ ซึ่งกินระยะเวลายาวนาน 4 ปี 5 เดือน
หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมรบและประกาศศักดาในสงครามครั้งนี้ ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจโลกเสรีบนเวทีโลกเคียงคู่กับอังกฤษและฝรั่งเศส
รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจโลกสังคมนิยม หลังจากเลนินทำการปฏิวัติยึดอำนาจ และต่อมาเมื่อสามารถขยายอำนาจไปผนวกแคว้นต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ยูเครน เบลารุส ฯลฯ จึงประกาศจัดตั้งสหภาพโซเวียต (
Union of Soviet Republics -USSR) ในปี ค.ศ. 1922

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1
1.             จัดตั้ง องค์การสันนิบาตชาติ แต่มีจุดอ่อนในการรักษาสันติภาพเพราะรัสเซียถอนตัวและสหรัฐอเมริกาไม่เข้าเป็นสมาชิก และไม่มีกองกำลังทหารรักษาสันติภาพ
2.             เกิดสนธิสัญญาสันติภาพที่ประเทศผู้ชนะร่างขึ้นมี 5 ฉบับ
2.1                              สนธิสัญญาแวร์ซาย (The Treaty of Veraailles) โดยฝ่ายชนะสงครามสำหรับเยอรมนี และสนธิสัญญาสันติภาพอีก 4 ฉบับสำหรับพันธมิตรของเยอรมนี เพื่อให้ฝ่ายผู้แพ้ยอมรับผิดในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสงคราม ในสนธิสัญญาดังกล่าวฝ่ายผู้แพ้ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม เสียดินแดนทั้งในยุโรปและอาณานิคม ต้องลดกำลังทหาร อาวุธ และต้องถูกพันธมิตรเข้ายึดครองดินแดนจนกว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาอย่างเรียบร้อย       อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ประเทศผู้แพ้ไม่ได้เข้าร่วมในการร่างสนธิสัญญา แต่ถูกบีบบังคับให้ลงนามยอมรับข้อตกลงของสนธิสัญญา จึงก่อให้เกิดภาวะตึงเครียดขึ้น  ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก ราคาสินค้าตกต่ำ เยอรมนีไม่สามารถใช้หนี้สงครามได้และมองสนธิสัญญานี้ว่าไม่เป็นธรรม จนฮิตเลอร์ ตั้งพรรคนาซีในเยอรมัน แล้วประณาม สนธิสัญญาแวร์ซาย     เกิดการก่อตัวของลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี และเผด็จการทหารในญี่ปุ่น ซึ่งท้ายสุดประเทศมหาอำนาจเผด็จการทั้งสามได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างกัน เพื่อต่อต้านโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ เรียกกันว่า ฝ่ายอักษะ   มีการจัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ เป็น ความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความมั่นคง ปลอดภัยและสันติภาพในโลก แต่ความพยายามดังกล่าวก็ดูจะล้มเหลว เพราะในปี ค.ศ. 1939 ได้เกิดสงครามที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง นั่นคือ สงครามโลกครั้งที่ 2
2.2        สนธิสัญญาแซงต์ แยร์แมงทำกับออสเตรีย
2.3       สนธิสัญญาเนยยี ทำกับบัลแกเรีย
2.4         สนธิสัญญาตริอานองทำกับฮังการี
2.5         สนธิสัญญาแซฟส์ทำกับตุรกีต่อมาเกิดการปฏิวัติในตุรกีจึงมีการทำสนธิสัญญาใหม่เรียกว่าสนธิสัญญาโล-ซานน์
3.             ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น  และความยากจนต่อเนื่องจากก่อนสงคราม นำไปสู่การที่เลนิน   ปฏิวัติเปลี่ยนประเทศรัสเซียเป็นคอมมิวนิสต์ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1
4.             เกิดรัฐเผด็จการ แบบเบ็ดเสร็จ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้แก่  รัสเซีย เลนินปฏิวัตินำระบบคอมมิวนิสต์ มาปกครองรัสเซียใน  ค.ศ. 1917  และในค.ศ. 1924 -1953  สตาลิน ได้ใช้ระบบเผด็จการ ที่เน้นการปราบศัตรูทางการเมืองและการผูกขาดอำนาจด้วยความรุนแรงมากขึ้น ส่วนในเยอรมนี ฮิตเลอร์ได้เป็นผู้นำ ใช้ระบบเผด็จการโดยอำนาจพรรคนาซี  ตั้งแต่ ค.ศ.1933 และในอิตาลี มุสโสลินีได้ตั้งพรรคฟาสซิสต์ขึ้นในเวลาต่อมา
5.              ประเทศเกิดใหม่ 7 ประเทศ  เนื่องมาจากการแยกดินแดน 
ได้แก่  1. ฮังการี  2. ยูโกสลาเวีย 3. โปแลนด์ 4  เชคโกสโลวาเกีย  5. ลิทัวเนีย  6. แลตเวีย และ                   7. แอสโตเนีย 
ประเทศไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ. 2457 ไทยตั้งตัวเป็นกลาง จนกระทั่งวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 ไทยจึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี และได้ส่งทหารอาสาสมัครไปช่วยรบประมาณ 1,200 คน ทั้งนี้รวมทั้งนายทหารและพลทหาร สมทบกับนักเรียนไทยในนานาประเทศอีกประมาณ 400 คน รวมทหารอาสาสมัครทั้งหมดประมาณ 1,600 คน   ทหาร อาสาออกเดินทางเมื่อ พ.ศ. 2461 ถึงประเทศฝรั่งเศสอยู่ใต้บัญชาการของนายพล เปแตง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้ไปปฏิบัติการในสมรภูมิประเทศฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม
ไทยกับเยอรมันเริ่มเกี่ยวข้องกันตั้งแต่ พ.ศ. 2404   เคานต์ ปรัดริช อัลเบรกต์ ซู ยู เลนเบอร์ก อัครราชทูตของเยอรมันได้เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เยอรมันได้เข้ามาทำการค้าแข่งขันกับชาวอังกฤษ เยอรมันนำสินค้าสำเร็จรูปเข้ามาขายและซื้อข้าวเปลือกจากไทย ต่อมาการค้าเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ผลประโยชน์ของเยอรมันในสยามก็เพิ่มขึ้น ในปี พ.ศ. 2457 มีจำนวนถึงครึ่งหนึ่งของการขนส่งของไทยผลิตจากเรือบรรทุกสินค้าเยอรมัน ครั้นถึงในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อุปทูตเยอรมันในกรุงเทพฯ ได้ขออนุญาตใช้เครื่องโทรเลขที่สถานีศาลาแดง เพื่อติดต่อกับสถานีสะบัง ในดินแดนสุมาตรา แต่รัชกาลที่ 6 ไม่ทรงอนุญาต
                เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น ประมาณ 1 สัปดาห์ รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายโดยประกาศความเป็นกลาง เมื่อ วันที่ 6 สิงหาคม 2457 เพราะอังกฤษและฝรั่งเศส มีอำนาจอยู่ในประเทศรอบ ๆ บ้านเรา จะทำให้เราเดือนร้อน การประกาศในครั้งนี้ รัฐบาลไทยตระหนักดีว่า ไทยไม่สามารถรักษาความเป็นกลางได้ตลอดไป การประกาศในครั้งนี้เป็นการยืดระยะเวลาออกไปเท่านั้น เพราะไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ อังกฤษและฝรั่งเศสจะยึดประเทศของเราเมื่อไรก็ได้ แต่เขายังไม่เห็นความจำเป็น เราจึงเป็นกลางอยู่ได้ รัฐบาลไทย มองถึงประโยชน์ที่เราจะเข้าร่วมสงคราม การที่ไทยประกาศความเป็นกลางอยู่ ถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ การที่ไทยประกาศความเป็นกลางก็มีแต่เสมอตัวหรือไม่ก็ขาดทุน อังกฤษและฝรั่งเศสต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อที่เขาจะได้ประโยชน์ อาทิ ไล่ชาวเยอรมันออกจากประเทศของเราให้หมด เลิกค้าขายกับเยอรมัน ซึ่งเราจะเสียเปรียบถ้าสงครามสงบลง เมื่อรัฐบาลคิดแบบนี้ ไทยจึงประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง (เยอรมัน ออสเตรีย ฮังการี ตุรกี )   เมื่อ 22 กรกฎาคม 2460




ผลที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น มีความสำคัญดังนี้

1.             เป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของประเทศ
2.             ได้รับเกียรติเข้าร่วมทำสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์
3.             เมื่อสงครามสงบได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกประเภทริเริ่มขององค์การสันนิบาตชาติ เป็น
       หลักประกันเอกราชและความปลอดภัยของประเทศ
4.             ได้แก้ไขสัญญาที่ทำไว้แต่รัชกาลที่ 4 เป็นผลสำเร็จ ยกเลิกสัญญาต่าง ๆ ที่ไทยทำกับเยอร
          มันและออสเตรีย-ฮังการี และทำสัญญากับประเทศต่าง ๆ ใหม่
5.             ได้ยึดทรัพย์จากเชลย
6.             เปลี่ยนธงชาติจากธงช้างมาเป็นธงไตรรงค์ เพื่อนำไปใช้ในกองทัพไทยที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
7.             สร้างอนุสาวรีย์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคือ อนุสาวรีย์ทหารอาสา วงเวียน 22 กรกฎา สมาคมสหายสงคราม เป็นต้น
8.             มีการจัดทหารแบบยุโรป และเริ่มจัดตั้งกรมอากาศยานขึ้นเป็นครั้งแรก

ภาพเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 1







แหล่งที่มา
www.mwit.ac.th/~daramas/ww1-2.doc

























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น