![]() |
สงครามโลกครั้งที่
1
world war I (ค.ศ. 1914 – 1918) หรือ (พ.ศ. 2457- 2461)
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็นสงครามความขัดแย้งบนฐานการล่าอาณานิคม ระหว่างมหาอำนาจยุโรปสองค่าย คือ ฝ่ายไตรพันธมิตร (Triple
ฝ่ายสัมพันธมิตร (Triple Alliance )
หรือ ไตรพันธมิตร ประกอบไปด้วย ด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย
ฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Triple Entente) ประกอบไปเยอรมนี จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี
สาเหตุของสงคราม
สมัย
ออทโท ฟอน บิสมาร์ค Otto von Bismarckเป็นผู้นำในการสร้างจักรวรรดินิยมเยอรมัน
เมื่อ บิสมาร์ค รบชนะฝรั่งเศส
และประกาศจักรวรรดิเยอรมันแล้วจึงดำเนินการตั้ง The Three
Emperor's League ซึ่งแสดงความเป็นสัมพันธมิตรระหว่าง เยอรมนี
ออสเตรีย-ฮังการี และรัสเซีย ด้วยเจตนาสำคัญประการแรกคือ
ป้องกันการแก้แค้นของฝรั่งเศส ต่อมาภายหลังเมื่อออสเตรีย-ฮังการี และรัสเซีย
ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กัน จนมิอาจเป็นพันธมิตรต่อกันได้
บิสมาร์คจึงชักชวนอิตาลีเข้าแทนที่รัสเซีย จึงเกิด Triple Alliance ขึ้น
ครั้งบิสมาร์คหมดอำนาจลง
จักรพรรดิเยอรมัน (Kaiser
Wilhelm II) ทรงเลิกนโยบายเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย และสร้างความไม่พอใจให้อังกฤษด้วยการเริ่มโครงการขยายกองทัพเรือและขยายอิทธิพลดินแดนตะวันออก
ฝรั่งเศสจึงได้โอกาสเสริมสร้างสัมพันธไมตรีกับรัสเซียและเข้าใจอันดีกับอังกฤษ
และในที่สุดเมื่อทั้งสามมหาอำนาจตกลงในความขัดแย้งเรื่องอาณานิคมที่เคยมีต่อกันได้แล้ว
จึงจัดตั้ง Triple Entente ในปี ค.ศ. 1907
ต่อมา เมื่อ อาร์คดยุคฟรานซิส
เฟอร์ดินัลด์ (Archduke
Francis Ferdinand)
มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการีและพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเจโวในแคว้นบอสเนีย
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 โดยนักศึกษาชาตินิยมชาวเซอร์เบีย
ชื่อ กาวริลโล ปรินซิปGavrilo Princip รัฐบาลออสเตรีย-ฮังการี
จึงตัดสินใจจะทำลายล้าง เซอร์เบีย ให้ราบคาบ และเมื่อได้รับแรงสนับสนุนจากเยอรมนี
จึงยื่นข้อเรียกร้องที่เซอร์เบียไม่อาจยอมรับได้
ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
รัสเซียได้เข้าสนับสนุนเซอร์เบียและระดมพลเตรียมต่อสู้
เยอรมนีจึงได้เรียกร้องมิให้รัสเซียและฝรั่งเศสเข้ามาแทรกแซง
ครั้นสองมหาอำนาจไม่ปฏิบัติตาม เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซียในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1914 และฝรั่งเศสในวันที่ 3
สิงหาคม ค.ศ. 1914 ตามลำดับ
หลังจากเยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซียและฝรั่งเศสแล้ว
ได้เคลื่อนกำลังพลเข้าละเมิดความเป็นกลางของประเทศเบลเยียมเพื่อขอเป็นทางผ่านในการบุกฝรั่งเศส
อังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจของโลกจึงประกาศสงครามกับเยอรมนีในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.
1914 มหาอำนาจในยุโรปจึงเข้าสู่สงคราม ยกเว้นอิตาลีที่เข้าร่วมในปี ค.ศ. 1915
ฝ่ายเยอรมนี
ออสเตรีย-อังการี อิตาลีได้ตุรกีและบัลแกเรียเป็นพันธมิตร
ตุรกีเข้าโจมตีจักรวรรดิเปอร์เซีย บัลแกเรียเข้าผนวกโรมาเนีย แอลเบเนีย และโจมตี กรีซ
ซึ่งต่อมาถูกเรียกโดยรวมว่าฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Central Powers) ส่วนอังกฤษ
ฝรั่งเศส และรัสเซีย ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม ฝ่ายพันธมิตร (the Allies)ได้ประเทศต่าง ๆ อีกหลายประเทศเข้าร่วม
รวมทั้งประเทศในเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น แต่ในปี ค.ศ. 1917
รัสเซียได้ถอนตัวออกจากสงครามครั้งนี้
เนื่องจากเลนินผู้นำกลุ่มบอลเชวิคส์ทำการปฏิวัติทางการเมืองขึ้นในรัสเซีย
และสหรัฐอเมริกาก็ได้เข้ามาแทนที่รัสเซีย
หลังจากเยอรมนีประกาศจะใช้เรือดำน้ำทำลายเรือข้าศึกและเรือสินค้าของทุกชาติโดยไม่มีขอบเขต
สำหรับประเทศไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรเมื่อ วันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 โดยส่งทหารอาสาสมัครเข้าร่วมรบในสมรภูมิยุโรปจำนวน
1200 คน
ในช่วงแรกของสงคราม
มหาอำนาจกลางเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่หลังจากที่อเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร
พร้อมกับส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลเกือบ 5 ล้านคน
ทำให้พันธมิตรกลับมาได้เปรียบและสามารถเอาชนะฝ่ายมหาอำนาจกลางได้ วันที่ 3
พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ออสเตรียขอทำสัญญาสงบศึก และ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918
เยอรมนีลงนามในสัญญาสงบศึก สงครามโลก ครั้งที่ 1 จึงได้ยุติลง ต่อมาได้มีการทำสนธิสัญญาแวร์ซายในปีค.ศ.
1919) ณ พระราชวังแวร์ซายเป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ ซึ่งกินระยะเวลายาวนาน 4 ปี 5 เดือน
หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมรบและประกาศศักดาในสงครามครั้งนี้
ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจโลกเสรีบนเวทีโลกเคียงคู่กับอังกฤษและฝรั่งเศส
รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจโลกสังคมนิยม หลังจากเลนินทำการปฏิวัติยึดอำนาจ และต่อมาเมื่อสามารถขยายอำนาจไปผนวกแคว้นต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ยูเครน เบลารุส ฯลฯ จึงประกาศจัดตั้งสหภาพโซเวียต (Union ofSoviet
Republics -USSR ) ในปี ค.ศ. 1922
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1
รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจโลกสังคมนิยม หลังจากเลนินทำการปฏิวัติยึดอำนาจ และต่อมาเมื่อสามารถขยายอำนาจไปผนวกแคว้นต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ยูเครน เบลารุส ฯลฯ จึงประกาศจัดตั้งสหภาพโซเวียต (Union of
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1
1.
จัดตั้ง “องค์การสันนิบาตชาติ” แต่มีจุดอ่อนในการรักษาสันติภาพเพราะรัสเซียถอนตัวและสหรัฐอเมริกาไม่เข้าเป็นสมาชิก
และไม่มีกองกำลังทหารรักษาสันติภาพ
2.
เกิดสนธิสัญญาสันติภาพที่ประเทศผู้ชนะร่างขึ้นมี
5 ฉบับ
2.1
สนธิสัญญาแวร์ซาย (The Treaty of
Veraailles) โดยฝ่ายชนะสงครามสำหรับเยอรมนี และสนธิสัญญาสันติภาพอีก
4 ฉบับสำหรับพันธมิตรของเยอรมนี
เพื่อให้ฝ่ายผู้แพ้ยอมรับผิดในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสงคราม
ในสนธิสัญญาดังกล่าวฝ่ายผู้แพ้ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม
เสียดินแดนทั้งในยุโรปและอาณานิคม ต้องลดกำลังทหาร อาวุธ
และต้องถูกพันธมิตรเข้ายึดครองดินแดนจนกว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาอย่างเรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม
ด้วยเหตุที่ประเทศผู้แพ้ไม่ได้เข้าร่วมในการร่างสนธิสัญญา
แต่ถูกบีบบังคับให้ลงนามยอมรับข้อตกลงของสนธิสัญญา จึงก่อให้เกิดภาวะตึงเครียดขึ้น ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก
ราคาสินค้าตกต่ำ เยอรมนีไม่สามารถใช้หนี้สงครามได้และมองสนธิสัญญานี้ว่าไม่เป็นธรรม
จนฮิตเลอร์ ตั้งพรรคนาซีในเยอรมัน แล้วประณาม
สนธิสัญญาแวร์ซาย เกิดการก่อตัวของลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี
และเผด็จการทหารในญี่ปุ่น
ซึ่งท้ายสุดประเทศมหาอำนาจเผด็จการทั้งสามได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างกัน
เพื่อต่อต้านโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ เรียกกันว่า “ฝ่ายอักษะ” มีการจัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ
เป็น ความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความมั่นคง ปลอดภัยและสันติภาพในโลก
แต่ความพยายามดังกล่าวก็ดูจะล้มเหลว เพราะในปี ค.ศ. 1939
ได้เกิดสงครามที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง นั่นคือ สงครามโลกครั้งที่ 2
2.2 สนธิสัญญาแซงต์ แยร์แมงทำกับออสเตรีย
2.3 สนธิสัญญาเนยยี ทำกับบัลแกเรีย
2.4 สนธิสัญญาตริอานองทำกับฮังการี
2.5 สนธิสัญญาแซฟส์ทำกับตุรกีต่อมาเกิดการปฏิวัติในตุรกีจึงมีการทำสนธิสัญญาใหม่เรียกว่าสนธิสัญญาโล-ซานน์
3.
ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น และความยากจนต่อเนื่องจากก่อนสงคราม นำไปสู่การที่เลนิน ปฏิวัติเปลี่ยนประเทศรัสเซียเป็นคอมมิวนิสต์ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่
1
4.
เกิดรัฐเผด็จการ แบบเบ็ดเสร็จ
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้แก่ รัสเซีย
เลนินปฏิวัตินำระบบคอมมิวนิสต์ มาปกครองรัสเซียใน ค.ศ. 1917 และในค.ศ.
1924 -1953 สตาลิน ได้ใช้ระบบเผด็จการ ที่เน้นการปราบศัตรูทางการเมืองและการผูกขาดอำนาจด้วยความรุนแรงมากขึ้น
ส่วนในเยอรมนี ฮิตเลอร์ได้เป็นผู้นำ ใช้ระบบเผด็จการโดยอำนาจพรรคนาซี ตั้งแต่ ค.ศ.1933 และในอิตาลี
มุสโสลินีได้ตั้งพรรคฟาสซิสต์ขึ้นในเวลาต่อมา
5.
ประเทศเกิดใหม่ 7 ประเทศ เนื่องมาจากการแยกดินแดน
ได้แก่ 1. ฮังการี 2. ยูโกสลาเวีย 3. โปแลนด์ 4 เชคโกสโลวาเกีย 5. ลิทัวเนีย 6. แลตเวีย และ 7. แอสโตเนีย
ประเทศไทยกับสงครามโลกครั้งที่
1
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ. 2457 ไทยตั้งตัวเป็นกลาง จนกระทั่งวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.
2460 ไทยจึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี
และได้ส่งทหารอาสาสมัครไปช่วยรบประมาณ 1,200 คน ทั้งนี้รวมทั้งนายทหารและพลทหาร
สมทบกับนักเรียนไทยในนานาประเทศอีกประมาณ 400 คน รวมทหารอาสาสมัครทั้งหมดประมาณ 1,600 คน ทหาร อาสาออกเดินทางเมื่อ
พ.ศ. 2461 ถึงประเทศฝรั่งเศสอยู่ใต้บัญชาการของนายพล เปแตง
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝ่ายสัมพันธมิตร
ได้ไปปฏิบัติการในสมรภูมิประเทศฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม
ไทยกับเยอรมันเริ่มเกี่ยวข้องกันตั้งแต่ พ.ศ. 2404 เคานต์ ปรัดริช อัลเบรกต์ ซู ยู เลนเบอร์ก อัครราชทูตของเยอรมันได้เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เยอรมันได้เข้ามาทำการค้าแข่งขันกับชาวอังกฤษ เยอรมันนำสินค้าสำเร็จรูปเข้ามาขายและซื้อข้าวเปลือกจากไทย
ต่อมาการค้าเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ผลประโยชน์ของเยอรมันในสยามก็เพิ่มขึ้น
ในปี พ.ศ. 2457 มีจำนวนถึงครึ่งหนึ่งของการขนส่งของไทยผลิตจากเรือบรรทุกสินค้าเยอรมัน
ครั้นถึงในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อุปทูตเยอรมันในกรุงเทพฯ ได้ขออนุญาตใช้เครื่องโทรเลขที่สถานีศาลาแดง
เพื่อติดต่อกับสถานีสะบัง ในดินแดนสุมาตรา แต่รัชกาลที่ 6 ไม่ทรงอนุญาต
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น ประมาณ 1 สัปดาห์ รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายโดยประกาศความเป็นกลาง เมื่อ วันที่ 6 สิงหาคม 2457 เพราะอังกฤษและฝรั่งเศส มีอำนาจอยู่ในประเทศรอบ ๆ บ้านเรา จะทำให้เราเดือนร้อน การประกาศในครั้งนี้ รัฐบาลไทยตระหนักดีว่า ไทยไม่สามารถรักษาความเป็นกลางได้ตลอดไป การประกาศในครั้งนี้เป็นการยืดระยะเวลาออกไปเท่านั้น เพราะไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ อังกฤษและฝรั่งเศสจะยึดประเทศของเราเมื่อไรก็ได้ แต่เขายังไม่เห็นความจำเป็น เราจึงเป็นกลางอยู่ได้ รัฐบาลไทย มองถึงประโยชน์ที่เราจะเข้าร่วมสงคราม การที่ไทยประกาศความเป็นกลางอยู่ ถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ การที่ไทยประกาศความเป็นกลางก็มีแต่เสมอตัวหรือไม่ก็ขาดทุน อังกฤษและฝรั่งเศสต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อที่เขาจะได้ประโยชน์ อาทิ ไล่ชาวเยอรมันออกจากประเทศของเราให้หมด เลิกค้าขายกับเยอรมัน ซึ่งเราจะเสียเปรียบถ้าสงครามสงบลง เมื่อรัฐบาลคิดแบบนี้ ไทยจึงประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง (เยอรมัน ออสเตรีย ฮังการี ตุรกี ) เมื่อ 22 กรกฎาคม 2460
ผลที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น
มีความสำคัญดังนี้
1.
เป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของประเทศ
2.
ได้รับเกียรติเข้าร่วมทำสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์
3.
เมื่อสงครามสงบได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกประเภทริเริ่มขององค์การสันนิบาตชาติ
เป็น
หลักประกันเอกราชและความปลอดภัยของประเทศ
4.
ได้แก้ไขสัญญาที่ทำไว้แต่รัชกาลที่ 4
เป็นผลสำเร็จ ยกเลิกสัญญาต่าง ๆ ที่ไทยทำกับเยอร
มันและออสเตรีย-ฮังการี
และทำสัญญากับประเทศต่าง ๆ ใหม่
5.
ได้ยึดทรัพย์จากเชลย
6.
เปลี่ยนธงชาติจากธงช้างมาเป็นธงไตรรงค์
เพื่อนำไปใช้ในกองทัพไทยที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
7.
สร้างอนุสาวรีย์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคือ
อนุสาวรีย์ทหารอาสา วงเวียน 22 กรกฎา สมาคมสหายสงคราม เป็นต้น
8.
มีการจัดทหารแบบยุโรป
และเริ่มจัดตั้งกรมอากาศยานขึ้นเป็นครั้งแรก
ภาพเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 1
แหล่งที่มา
www.mwit.ac.th/~daramas/ww1-2.doc
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น