วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

(เรื่องที่ 16) พระที่นั่งวิมานเมฆ


     ในปี พ.ศ. 2440 สมัยที่ รัชกาลที่5 ทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับมาจากประพาสทวีปยุโรปครั้งที่ 1 ได้ทรงมีพระราชดำริว่า กษัตริย์ยุโรปมีพระราชวังทั้งในและนอกพระนครอย่างละแห่ง ประกอบกับพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพค่อนข้างแออัด ลมพัดไม่สะดวก จึงทรงโปรดให้สร้างวังแห่งใหม่ขึ้นที่ชานพระนคร ทรงนึกถึงเกาะสีชังขึ้นมา



เนื่องจากในสมัย รัชกาลที่4 ครองราชย์ ครั้งหนึ่งได้เคยตามเสด็จไปประพาสชายฝั่งตะวันออก เพื่อทอดพระเนตรวิถีชีวิตของผู้คนในแถบนั้น ท่านทรงได้ประทับเรือกลไฟพระที่นั่งไปถึง ชลบุรี, ระยอง และพักที่เกาะสีชังโดยได้ประทับค้างคืนบนเรือพระที่นั่ง ด้วยความที่มีทัศนียภาพงดงาม ลมทะเลโกรกเย็นสบาย แต่มิได้เคยไปประทับอีกเลยจวบจนสิ้น รัชกาลที่4 ทำให้ รัชกาลที่5 รำลึกถึงที่นี่ และได้สร้างพระราชวังขึ้น ขณะนั้นสมเด็จพระพันปีหลวง พระมเหสีได้ประสูติสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก พระราชโอรส (ต่อมาได้ขึ้นเป็น กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย)

ดังนั้นพระราชวังที่สร้างขึ้นนี้ รัชกาลที่5 จึงทรงพระราชทานชื่อว่า “จุฑาธุชราชฐาน” ในการนี้ได้สร้างอาคาร, พระที่นั่ง, ตำหนัก ประกอบกันหลายหลัง ส่วนพระที่นั่งที่ประทับนั้น ชื่อว่า มันธาตุรัตนโรจน์ ขณะที่กำลังดำเนินการก่อสร้างช่วงนั้น ทางกรุงเทพได้เกิดวิกฤตการณ์ รศ.112 ไทยเกิดข้อพิพาทกับฝรั่งเศสทางชายแดนอีสาน มีการรบกันทหารไทยทำให้ทหารฝรั่งเศสบาดเจ็บและล้มตายไปหลายนาย ฝรั่งเศสจึงส่งเรือปืน 3 ลำมาปิดปากอ่าวไทย ยิงกันที่ป้อมพระจุลจอมเหล้าทำให้เรือรบฝรั่งเศสเสียหาย ทางฝรั่งเศสต้องการให้ไทยชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 3 ล้านบาท ซึ่งในสมัย รัชกาลที่3 นั้นท่านทรงมีเงินเก็บไว้บางส่วนจากการค้าขายกับเรือสำเภาจีน โดยเก็บไว้ในถุงแดง และท่านได้รับสั่งไว้ก่อนสวรรคตว่า เงินจำนวนนี้เอาไว้ไถ่บ้านไถ่เมือง รัชกาลที่5 ท่านจึงได้ทรงนำเงินจำนวนนี้มาใช้ นอกจากเงินแล้ว ไทยยังต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง (ลาวทั้งหมด) ให้กับฝรั่งเศสด้วย 

รัชกาลที่ 5 ทรงโทมนัสมาก ทรงประชวรนานหลายเดือน ท่านทรงเห็นว่า พระที่นั่งจุฑาธุชราชฐานที่เกาะสีชังคงไม่เหมาะจะไปประทับแล้ว เพราะอยู่ไกลจากเมืองหลวง หากมีเหตุคับขันจะไม่สะดวกในการกลับมา ท่านจึงให้ระงับการก่อสร้างซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2436 เสีย ต่อมาในปี 2440 หลังกลับจากยุโรป จึงทรงใช้ทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ ซื้อที่นาบริเวณทุ่งสามเสนและโปรดให้สร้างวังขึ้น เรียกว่า วังดุสิต ต่อมาเปลี่ยนเป็น วังสวนดุสิต และเป็น พระราชวังสวนดุสิต ในที่สุด ทรงเห็นว่า พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ที่ทรงสร้างค้างไว้นั้นยังดีอยู่ จึงทรงสั่งให้รื้อมาสร้างที่นี่แทน โดยพระราชทานชื่อใหม่ว่า พระที่นั่งวิมานเมฆ โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ เป็นแม่กองในการรื้อและออกแบบสร้างพระราชวังสวนดุสิตด้วย 

พระที่นั่งนี้ เป็นรูปตัว L หลังคาสีแดง สูง 3 ชั้น ด้านตะวันตกเป็นหอ 8 เหลี่ยมสูง 4 ชั้น ชั้นที่ 4 มีห้องบรรทมของ รัชกาลที่5 รูปแบบสถาปัตยกรรมอาคารเป็นแบบอังกฤษ Victorian Style แต่ใช้วัสดุของไทย คือไม้สักทอง ดังนั้น พระที่นั่งนี้ จึงเป็นพระที่นั่งไม้สักทองทั้งหลังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เวลาในการก่อสร้าง 19 เดือน รัชกาลที่5 ทรงเสด็จมาควบคุมการก่อสร้างทุกวัน โดยทรงหัดขี่จักรยานในพระบรมมหาราชวังก่อน จนคล่องท่านจึงได้ขี่นำขบวนจากพระบรมมหาราชวัง มาตามถนนราชดำเนิน เพื่อมาดูการก่อสร้างทุกวันตลอด 19 เดือน บางครั้งก็ทรงนำพระราชกิจมาทรงที่นี่ด้วย และบางครั้งก็ค้างคืนที่นี่เช่นกัน 

พระที่นั่งนี้ มีห้องทั้งหมดประมาณ 70 ห้อง แบ่งเป็น 5 กลุ่มสี ได้แก่ สีฟ้า, ชมพู, พีช, เขียว และเหลือง โดยมีพระมเหสีดูแลและรับผิดชอบแต่ละกลุ่มสีแยกกันไป ในพระที่นั่งนี้ มีห้องบรรทม รวมถึงของเจ้านายฝ่ายใน-พระโอรส-ธิดา ,ห้องเสวย, ห้องสรง ,ห้องโป่งเพื่อไว้ทรงออกรับแขกด้วย

ครั้งหนึ่ง รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระราชโอรสซึ่งไปศึกษาอยู่ประเทศเยอรมัน ความตอนหนึ่งว่า “ชายบริพัตรฯ บัดนี้พ่อมาอยู่ที่วังสวนดุสิต ลมโกรกเย็นสบายดีเหลือเกิน”

หลังจาก รัชกาลที่ 5 ทรงอยู่ที่นี่ได้ประมาณ 5 ปี ท่านทรงโปรดให้สร้างพระที่นั่งอภิเศกดุสิตขึ้นอีกหลัง เพื่อเป็นสถานที่ในการพระราชทานเลี้ยง หรือจัดงานต่างๆ พระที่นั่งนี้มีการใช้ไม้ฉลุลายขนมปังขิงประดับไว้ตามชายคาอาคารโดยรอบด้วย

ด้านหนัาประตูทางเข้าพระที่นั่งอภิเศกดุสิต มีอาร์มแผ่นดินที่คิดขึ้นในสมัย รัชกาลที่5 ประดับอยู่ ในตรานี้ ด้านบนมีรูปช้าง3 เศียรคือ ฃ้างไอยราพต หมายถึงประเทศสยาม , เหนืออาร์มมีตราจักรี มีมหามงกุฎครอบอยู่, ด้านล่างซ้ายมีรูปช้างเชือกเดียว หมายถึงประเทศลาว, ล่างขวามีรูปกฤชสีแดง หมายถึงเมืองขึ้นของไทยสมัยนั้นอันได้แก่ มลายู, ไทรบุรี, กลันตัน, มะริด, ตรังกานู ,2 ข้างมีคชสีห์ (สมุหกลาโหม) และราชสีห์ (สมุหนายก) ประกอบอยู่ เป็นตราประจำประเทศไทย พอถึงสมัย รัชกาลที่6 เปลี่ยนไปใช้ตรา ครุฑพาห์ เป ็นตราประจำประเทศแทน 


ภายในพระที่นั่งอภิเศกดุสิต เป็นโถงใหญ่มีพระที่นั่งที่ประทับของ รัชกาลที่5 โถงนี้จุคนได้ประมาณ 100 คน มีการประดับกระจกสีหรือ stain glass ด้านบนด้วย ภายในตกแต่งแบบตะวันตก ใช้ในการออกว่าราชการและพระราชทานเลี้ยง 


ต่อมาได้ทรงโปรดให้สร้างพระที่นั่งอัมพรสถาน โดยให้ช่างชาวอิตาลีเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง อาคารเป็นแบบ 3 ชั้นก่ออิฐถือปูน สร้างแล้วเสร็จในปลายสมัย รัชกาลที่5 ท่านจึงได้ย้ายไปประทับและสวรรคตที่นั่นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 วันรุ่งขึ้นจึงได้อัญเชิญพระบรมศพไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาประสาท

ในช่วงปลายรัชกาลเช่นกัน ท่านยังโปรดให้สร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมให้เป็นคู่กับพระที่นั่งอัมพรสถาน (พระที่นั่งวิมานเมฆ คู่กับพระที่นั่งอภิเศกดุสิต) เดิมจะสร้างให้เป็นแบบทรงไทยทั้งคู่ แต่สถาปนิกไทยได้ทยอยตายกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงพระยาราชสงคราม (กร หงสกุล)) ซึ่งคุมการก่อสร้างคนเดียวไม่ไหวเนื่องจากอายุมากแล้ว เลยทรงโปรดให้สถาปนิกชาวอิตาเลียนคุมการสร้างแทน ผังอาคารเป็นรูปไม้กางเขน มีโดมขนาดใหญ่ตรงกลาง และโดมขนาดเล็กรารอบ ใช้หินอ่อนสีขาวจากเมืองคาราลา อิตาลี หลังคาหุ้มด้วยทองแดง แต่เราจะเห็นเป็นสีเขียวเนื่องจากออกไซด์ของทองแดงทำให้สีหลังคาเปลี่ยนไป 


รัชกาลที่ 6 ทรงรับช่วงดำเนินการก่อสร้างต่อจนเสร็จในปี 2468 ภายในมีภาพเขียนพระราชกรณียกิจของ 6 รัชกาลประดับอยู่ ต่อมาในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิ.ย. 2475 คณะราชย์ฯ ได้เข้ายึดพระนคร และใช้เป็นที่บัญชาการทหาร ปัจจุบันนี้ได้ใช้เป็นที่เปิดประชุมสภาสมัยสามัญทุกๆ 4 ปี โดยในหลวงจะเสด็จประทับบนพระที่นั่งพุฒตาลกาญจนสิงหาทบนพระราชบัลลังก์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตรหลังพระวิสูตร พอเริ่มเปิดประชุมเจ้าพนักงานจะเปิดพระวิสูตรออก ในหลวงทรงตรัสกล่าวเปิดการประชุมแล้วปิดพระวิสูตรลง เป็นอันเสร็จพิธี

นอกจากนี้ พระราชวังสวนดุสิตยังมีตำหนักต่างๆ อยู่ภายในอีก เช่น พระตำหนักสวนหงส์ของสมเด็จพระพันวษา, พระตำหนักสวนบัวของพระพิมาดา, พระตำหนักสวน 4 ฤดู ของพระพันปีหลวง, พระตำหนักสวนฝรั่งกังไสของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็นต้น รอบๆ พระที่นั่งวิมานเมฆมีคูน้ำล้อมรอบ ทำให้ดูเหมือนเป็นเกาะอยู่กลางน้ำ มีตำหนักของพระเจ้าน้องนางเธอใน รัชกาลที่5 เช่น พระองค์เจ้าบุษบันบัวผัน อยู่ในบริเวณด้วย ทางทิศใต้มีอ่างหยกเพราะน้ำสีเขียวตลอดเวลา, คลองร่องไม้หอม มีต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมเช่น สายหยุด, ราตรี ประดับอยู่ 



ทางทิศใต้ของอ่างหยกมีเรือนไทยหมู่ ชื่อว่า พระตำหนักเรือนต้น เป็นที่ประทับเปลี่ยนอิริยาบถ เรือนไทย 4 หลังนี้ทำจากไม้เป็นอาคารหมู่มีชานตรงกลาง ครั้งหนึ่งที่ รัชกาลที่ 5 ทรงพระประชวรได้เปลี่ยนไปพักประทับอิริยาบถที่นี่ กล่าวกันว่า ความเย็นของน้ำทำให้ท่านทรงสร่างจากไข้ได้

พระตำหนักเรือนต้นนี้ได้เคยเป็นที่ใช้รับรองเพื่อนต้นด้วย เนื่องจาก รัชกาลที่ 5 ทรงชอบเสด็จประพาสต้นบ่อยๆ โดยลงเรือเล็กๆ เข้าไปตามที่ต่างๆ บริเวณหัวเมืองเพื่อดูวิถีและการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน วันหนึ่งได้เสด็จหัวเมืองแถบจังหวัดอ่างทองไปพร้อมข้าราชบริพารรวม 3 คน เข้าไปในคลองที่ซอยออกมาจากคลองใหญ่ แล้วได้จอดเรือกระแซงที่หน้าบ้านของนายช้างในตอนเช้า นายช้างมาเห็นเข้าก็รียกขึ้นมาทานข้าว ภายหลังได้รู้ว่าท่านคือใคร ท่านก็ได้พระราชทานไม้ตะพดหัวหุ้มเงิน มีตรา จปรัชกาลที่บนหัวไม้เท้าให้ เป็นสัญลักษณ์ว่าคนๆ นี้ เป็นเพื่อนต้นของท่าน แต่ท่านเป็นผู้หญิงท่านจะพระราชทาน หีบหมากให้แทน และท่านทรงสั่งกำชับบรรดาทหารยามและทหารมหาดเล็กไว้ว่า หากวันใดมีชาวบ้านถือไม้เท้าหรือหีบหมากลักษณะนี้มาขอเข้าเฝ้า ให้เข้ามาได้ทันทีและตลอดเวลา เพราะท่านถือว่า “เพื่อนจะมาหาเพื่อนเมื่อใดก็ได้” 
บางเวลาที่ท่านพระราชทานจัดเลี้ยงเพื่อนต้น ท่านก็จะจัดที่ พระตำหนักเรือนต้นแห่งนี้ ซึ่ง รัชกาลที่5 จะเสด็จลงทรงครัวด้วยพระองค์เอง เช่น หลนปลาร้า หรืออาหารอื่นๆ ด้วย ภายหลัง รัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคตแล้ว พระที่นั่งนี้ก็เลยเงียบลงเนื่องจาก รัชกาลที่6 ทรงโปรดประทับที่วังพญาไท (บริเวณ รพ. พระมงกุฏเกล้า) มากกว่า แต่ท่านก็ได้ให้ชายาของท่านมาประทับที่นี่แทน

ต่อมาพระที่นั่งวิมานเมฆได้ถูกปิดตายช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 – 2525 เป็นเวลา 50 ปีเต็ม

สมด็จพระนางจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินินาถ ทรงขอพระราชทานการซ่อมแซมพระที่นั่งนี้จาก รัชกาลที่ 9 และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ของ รัชกาลที่ 5 ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าชมได้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 เป็นต้นมา จากห้องทั้งหมดประมาณ 72 ห้องได้เปิดให้เข้าชมประมาณ 30 กว่าห้อง เช่น ห้องโป่ง, ห้องพระบรรทม, ห้องสังเวยพระป้าย, ของสังเค็ต (ของชำร่วยแจกงานศพในสมัยนั้น) ,หีบพระร่มทองคำ (หีบใส่ยารักษาโรค) ฯลฯ 

ในห้องโป่งมีพระราชอาสน์สีแดงอยู่องค์หนึ่ง ซึ่งข้าราชบริพารและเชื้อพระวงศ์ในสมัยนั้นได้ร่วมกันสร้างถวายในวโรกาสที่ทรงครองราชย์ครบ 40 พรรษา โดยตามขอบพระราชอาสน์มีการสลักสัญลักษณ์ของเครื่องราชกกุธภัณฑ์ (Royal Regalia) ประดับตามขอบพระราชอาสน์ อันได้แก่ พระมหาพิชัยมงกุฏ , พระแสงขรรค์ชัยศรี , ธารพระกร , พัดวาลวิชนี (พระแส้ขนจามรี และพัดโบกใบตาล) และฉลองพระบาทเชิงงอน



           แหล่งที่มา

http://www.baanjomyut.com



(เรื่องที่ 15) ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง

หลักศิลาจารึก
      ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ทำจากหินทรายแป้ง ลักษณะเป็นหลักสี่เหลี่ยมด้านเท่าทรงกระโจม หรือทรงยอ กว้างด้านละ 35 เซนติเมตร สูง 111 เซนติเมตร จารึกอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย ปี พ.ศ.1835 เรียกศิลาจารึกหลักนี้ว่า จารึกหลักที่ 1 ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

       เมื่อปี พ.ศ.2376 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ ขณะทรงผนวชได้เสด็จจาริกหัวเมืองฝ่ายเหนือ ถึงเมืองเก่าสุโขทัย ทรงพบศิลาจารึกหลักนี้พร้อมพระแท่นมนังคศิลาบาตร ณ โคกปราสาทร้าง จึงได้โปรดให้นำเข้ากรุงเทพ ฯ ในขั้นแรกเก็บรักษาไว้ที่วัดราชาธิวาส เพราะทรงประทับอยู่ ณ ที่วัดนั้น ต่อมาเมื่อทรงย้ายไปประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร จึงโปรดให้ย้ายไปไว้ที่วัดบวร ฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ทรงอ่านศิลาจารึกหลักนี้ได้เป็นพระองค์แรก และหอสมุดวชิรญาณได้จัดพิมพ์เป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2467 


      เมื่อไม่นานมานี้ได้มีผู้ที่ถูกเรียกกันว่าเป็นนักวิชาการบางคน และพรรคพวกที่มีความเห็นอย่างเดียวกัน บางพวกไม่เชื่อว่าเป็นศิลาจารึกที่พ่อขุนรามคำแหงสร้างขึ้นไว้เมื่อประมาณ เจ็ดร้อยปีก่อน จึงได้มีการพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์ ตามที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเสนอแนะไว้ในคราวประชุมใหญ่ ฯ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2532 โดยมอบหมายให้นักวิทยาศาสตร์ ประจำกรมศิลปากร และกรมทรัพยากรธรณี ทำการวิจัยเรื่อง การพิสูจน์ศิลาจารึกหลักที่ 1 ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ โดยนำศิลาจารึกที่ทำด้วยหินทรายแป้ง ชนิดเดียวกับศิลาจารึกหลักที่ 1 และถูกทิ้งกรำแดดกรำฝน คือศิลาจารึกวัดพระบรมธาตุนครชุม เมืองกำแพงเพชร (จารึกหลักที่ 3) ศิลาจารึกวัดมหาธาตุ (จารึกหลักที่ 45) พระแท่นมนังคศิลาบาตร และจารึกชีผ้าขาวเพสสันดรวัดข้าวสารมาเปรียบเทียบกัน ผู้วิจัยได้ใช้แว่นขยายรังสีอัลตร้าไวโอเลต และรังสีอินฟราเรด กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจพิสูจน์ เมื่อเปรียบเทียบวิเคราะห์หลาย ๆ จุดบนตัวอย่างแต่ละตัวอย่างแล้ว หาค่าเฉลี่ยพบว่า ความแตกต่างขององค์ประกอบที่ผิวกับส่วนที่อยู่ข้างในของศิลาจารึกหลักที่ 1 หลักที่ 3 และหลักที่ 45 มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน จึงสรุปผลการพิสูจน์ว่า

"ผลปรากฏว่าผิวของหินตรงร่องที่เกิดจากการจารึกตัวอักษรมีปริมาณแคลไซด์ ลดลงมากใกล้เคียงกับผิวส่วนอื่น ๆ ของศิลาจารึกหลักที่ 1 จนสามารถมองเห็นเป็นชั้นที่มีความแตกต่างได้ชัดเจน แสดงว่าเป็นการจารึกในช่วงเวลาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันกับการสกัดก้อนหินออกมาเป็นแท่งแล้วขัดผิวให้เรียบ มิใช่เป็นการนำแท่งหินที่ขัดผิวไว้เรียบร้อยในสมัยสุโขทัย แล้วนำมาจารึกขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ " 
     จากความจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว แสดงว่าศิลาจารึกหลักที่ 1 ได้ผ่านกระบวนการสึกกร่อนผุสลายมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ใกล้เคียงกับศิลาจารึก หลักที่ 3 หลักที่ 45 และหลักที่กล่าวถึงชีผ้าขาวเพสสัดร จึงเป็นอันยุติว่า ศิลาจารึกหลักที่ 1 เป็นของดั้งเดิม มิใช่ทำขึ้นใหม่ อย่างที่กลุ่มคนบางจำพวกยกเป็นประเด็นขึ้นมา 

       สาระสำคัญของศิลาจารึกหลักที่ 1 เบื้องต้นเป็นการบอกเล่า พระราชประวัติพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งทรงบอกเล่าด้วยพระองค์เอง ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนถึงขึ้นครองราชย์ แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของสุโขทัย และวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยสุโขทัย ที่อยู่ร่วมกันด้วยน้ำใจไมตรี เคารพในสิทธิเสรีภาพของกันและกัน ความมีใจบุญสุนทาน เอื้ออาทรกัน ให้ทานและรักษาศีลกันเป็นประจำ

      ในจารึกให้ข้อมูลว่า พ่อขุนรามคำแหงทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น ในปีมหาศักราช 1205 ซึ่งตรงกับ ปี พ.ศ.1826 ต่อมาในปี มหาศักราช 1214 (พ.ศ.1835) พ่อขุนรามคำแหงทรงให้ช่างนำหินทรายแป้งมาทำพระแท่นชื่อ พระแท่นมนังคศิลาบาตร ตั้งไว้ที่กลางดงตาล ในวันพระแปดค่ำ สิบห้าค่ำ จะนิมนต์พระเถระขึ้นนั่งบนพระแท่นแล้วแสดงธรรมให้ลูกจ้าวลูกขุนไพร่ฟ้าข้าไท ท่วยปั่ง ท่วยนางทั้งหลายได้สดับตรับฟัง ในวันธรรมดาพ่อขุนรามคำแหง ทรงขึ้นประทับนั่งว่าราชการงานเมือง และตัดสินคดีความที่ไพร่ฟ้าหน้าปกมาร้องทุกข์ ทรงโปรดให้แขวนกระดิ่งไว้ เพื่อให้ผู้ที่มีความทุกข์ร้อนมาสั่นกระดิ่งร้องทุกข์

      ด้านการพระพุทธศาสนา พ่อขุนรามคำแหงทรงอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายลังกาวงศ์ จากนครศรีธรรมราชมาร่วมกับภิกษุสงฆ์ฝ่ายเถรวาทเดิม ผู้สืบทอดมาแต่พระโสนะเถระ และพระอุตรเถระให้มาอบรมสั่งสอนชาวสุโขทัย ปรากฏว่าพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายคามวาสี และอรัญวาสีอย่างชัดเจน มีการตั้งสมณศักดิ์เป็นปู่ครู เถระ มหาเถระ แก่พระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งในทางปกครอง คนสุโขทัยในสมัยนั้น จึงทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน โดยวันธรรมดารักษาศีลห้า ในวันธรรมสวนะ หรือวันพระรักษาศีลแปด หรือศีลอุโบสถตามแต่ศรัทธา 

    ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง มีงานนักขัตฤกษ์เผาเทียนเล่นไฟ อันเป็นที่มาของงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของชาวสุโขทัย มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

    ด้านการปกครอง จารึกไว้ว่ามีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ทิศตะวันออกตั้งแต่สรลวงสองแคว (พิษณุโลก) เลย จากลุมบาจายสะคาไปถึงเวียงจันทน์ ทิศใต้ตั้งแต่สุพรรณบุรี ราชบุรี เลยนครศรีธรรมราชไปสุดแผ่นดินจดทะเลมหาสมุทร ทิศตะวันตกเลยเมืองฉอด ไปถึงเมืองหงสาวดีมีมหาสมุทรเป็นแดน ทิศเหนือถึงแพร่ น่าน ข้ามฝั่งโขงไปถึงเมืองหลวงพระบาง

     ศิลาจารึกวัดศรีชุม เรียกว่า ศิลาจารึกหลักที่ 2 ทำด้วยหินดินดานเป็นรูปใบเสมา กว้าง 67 เซนติเมตร สูง 275 เซนติเมตร หนา 8 เซนติเมตร ด้านที่หนึ่งจารึกอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย มี 107 บรรทัด ด้านที่สองมี 95 บรรทัด มีอายุประมาณ ปี พ.ศ.1880 - 1910 นายพลโท พระยาสโมสรสรรพการ เมื่อครั้งเป็นที่หลวงสโมสรพลการ พบที่อุโมงค์วัดศรีชุม เมืองเก่าสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.2430 ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

     สาระสำคัญของจารึกหลักนี้ สมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีศรีรัตนลังกาทีปมหาสามี เป็นเจ้าได้ให้ศิษย์ของท่าน จารทำบอกเล่าให้เราให้ทราบเรื่องของคนไทยสมัยก่อนพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ครองกรุงสุโขทัย ทรงเล่าไว้ว่า ท่านเกิดในนครสรลางสองแคว (พิษณุโลก) เป็นโอรสพระยาคำแหงพระราม เป็นหลานปู่พ่อขุนนาวนำถุม หรือพระยาศรีนาวนำถุม ซึ่งเสวยราชย์ในนครสองอัน อันหนึ่งชื่อ นครสุโขไท อีกอันหนึ่งชื่อ นครสรีเสชนาไล (ศรีสัชนาลัย) ภายหลังประทับอยู่ที่นครสุโขทัยแห่งเดียว ส่วนนครศรีสัชนาลัยนั้นทรงตั้งขุนยี่ คือ อุปราชปกครอง โอรสองค์โตชื่อ ขุนผาเมือง ให้ไปครองเมืองราด เมืองลุม เป็นราชบุตรเขยของผีฟ้าเจ้าเมืองศรีโสธรปุระ (พระเจ้าชัยวรมันที่แปด) และดำรงตำแหน่งยุวราชแห่งศรีโสธรปุระด้วย โอรสอีกองค์หนึ่งชื่อพระยาคำแหงพระราม (พระบิดาสมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธา ฯ) ให้ครองนครสรลวงสองแคว

       เมื่อสิ้นพ่อขุนนาวนำถุมแล้ว ขอมสบาดโขลนลำพง ยึดอำนาจการปกครอง พ่อขุนบางกลางหาว ซึ่งดำรงตำแหน่งขุนยี่ครองนครศรีสัชนาลัย จึงขึ้นไปเมืองบางยาง ได้รวบรวมพลร่วมกับพ่อขุนผาเมืองผู้เป็นสหาย โดยจัดทัพแยกกันเป็นสองทาง ขุนบางกลางหาวยกกำลังเข้ายึดศรีสัชนาลัยคืนได้แล้ว ก็นำกำลังมารวมกับกำลังของขุนผาเมืองที่เมืองบางขลัง แต่แต่งกลอุบายให้ขอมสบาดโขลนลำพงยกกำลังไปรบกับขุนบางกลางหาว แล้วขุนผาเมืองก็ยกกำลังเข้ายึดสุโขทัยได้ ขอมสบาดโขลนลำพงเสียรู้แตกกลับไป

       ขุนผาเมืองเชิญขุนบางกลางหาวเข้าเมืองสุโขทัย แล้วอภิเษกให้ครองเมืองสุโขทัย พร้อมทั้งให้นามเกียรติของตนที่ได้จากผีฟ้าเจ้าเมืองศรีโสธรปุระว่า ศรีอินทรบดินทราทิตย์ ขุนบางกลางหาวจึงมีพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

        สมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธา ฯ ได้เล่าเรื่องของท่านเองตั้งแต่เยาว์จนถึงหนุ่ม ได้ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระยาคำแหงพระรามผู้เป็นบิดา ครั้งสุดท้ายรบชนะขุนจัง แล้วมองเห็นความทุกข์ความไม่เที่ยงในโลกีย์วิสัย จึงสละสมบัติออกบวชแล้วเดินธุดงค์ไปเที่ยวทุกแห่ง เข้าไปสู่อินเดียตอนใต้ แล้วไปถึงลังกาทวีป พบเห็นมหิยังคณะมหาเจดีย์ที่ประดิษฐานพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า ปรักหักพังเกิดศรัทธา จึงได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เมื่อพระองค์ได้กระทำสักการบูชาพระมหาธาตุเจดีย์ ก็เกิดปาฏิหาริย์เป็นที่ประจักษ์แก่พระองค์และชาวสิงหล พระองค์จึงได้รับการยกย่องเทิดทูนจากชาวสิงหล สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระศรีศรัทธา ฯ พระองค์ประทับอยู่ที่ลังกาเป็นเวลาพอสมควรแล้วจึงเดินทางกลับสุโขทัย และได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุพร้อมกิ่งพระศรีมหาโพธิ์มาด้วย เมื่อมาถึงสุโขทัยก็ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และกิ่งพระศรีมหาโพธิ์ ประดิษฐาน ณ นครสุโขทัย บางฉลัง ศรีสัชนาลัย เพื่อให้เป็นเมืองธรรมจึงได้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ สร้างพิหารเจ้าอาวาส สร้างพระพุทธรูปอันงามพิจิตร

       ท่านได้ไปเที่ยวโปรดสัตว์ ไปพบพระมหาธาตุเจดีย์ปรักหักพังอยู่กึ่งกลางนครพระกริส จึงอธิษฐานบารมีจนพบแหล่งปูน ท่านได้นำมาก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ จากเดิมที่สูง 95 วาไม้ เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วได้ความสูง 102 วา พระมหาธาตุเจดีย์องค์นี้ขอมเรียกว่า พระธม ส่วนปูนที่เหลือท่านได้นำไปซ่อมแซมพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก

        ศิลาจารึกนครชุม เรียกว่า จารึกหลักที่ 3 ทำด้วยหินทรายแป้งเป็นรูปใบเสมา กว้าง 47 เซนติเมตร สูง 193  เซนติเมตร หนา 6 เซนติเมตร จารึกอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทยด้านที่หนึ่งมี 78 บรรทัด ด้านที่สองมี 58 บรรทัด สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1900 สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพบที่วัดบรมธาตุนครชุม เมืองกำแพงเพชร เมื่อปี พ.ศ.2464 ปัจจุบันอยู่ที่หอสมุดวชิรญาณ กองหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพ ฯ 


       สาระสำคัญของจารึกหลักนี้ บอกให้ทราบในเบื้องต้นว่า พระยาลือไทยโอรสพระยาเลอไทย พระนัดดาพระยารามราช เสวยราชที่เมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย ประมาณปี พ.ศ.1890 เมื่อเสวยราชย์แล้ว ท้าวพระยาทั้งหลายแต่งกระยาดงวาย ของฝากหมากปลามาไหว้อันยัดยัญอภิเษก เป็นท้าวเป็นพระญา ชื่อ ศรีสุริยพงศ์มหาธรรมราชาธิราช ทรงได้พระบรมสารีริกธาตุพร้อมกิ่งพระศรีมหาโพธิ์ จากลังกาทวีปใน ปี พ.ศ.1900 จึงทรงนำไปประดิษฐานในเมืองนครชุม และทรงจารึกไว้ว่า "...ผิผู้ใดได้ไหว้นบกระทำบูชาพระศรีรัตนมหาธาตุ และพระศรีมหาโพธิ์นี้ว่าไซร้ มีผลอานิสงส์พร่ำเสมอดังได้นบตนพระเป็นเจ้าบ้างแล..."

      พระมหาธรรมราชาลิไททรงเชื่อว่าพระพุทธศาสนา จะมีอายุดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ห้าพันปี จึงทรงจารึกไว้ว่า "...ผิมีคนมาถามศาสนาพระเป็นเจ้ายังเท่าใดจักสิ้นอั้นให้แก่ว่าดังนี้ แต่ปีอันสถาปนาพระมหาธาตุนี้เมื่อหน้าได้สามพันเก้าสิบเก้าปีจึงจักสิ้นพระศาสนาพระเป็นเจ้า..." และยังได้ตรัสถึงสัทธรรมอันตรธานห้าประการ คือ ประมาณพระพุทธศาสนายุกาลได้ 1999 ปี พระไตรปิฎกจักหาย หาคนรู้แท้มิได้ มีคนรู้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น พระธรรมเทศนามหาชาติหาคนสวดมิได้ ชาดกมีต้นหาปลายมิได้ พระอภิธรรมนั้น พระปัฏฐานและพระยมกหายไปก่อน เมื่อพระพุทธศาสนายุกาลประมาณได้ 2999 ปี "...ฝูงภิกษุสงฆ์จำศีลคงสิกขาบทสี่อันยังมีสิกขาบทอันหนักหนาหามิได้เลย " เมื่อพระพุทธศาสนายุกาลประมาณได้ 3999 "...ฝูงชีจักทรงผ้าจีวรหามิได้เลย เท่ายังมีผ้าเหลืองน้อยหนึ่งเหน็บใบหู และรู้จักศาสนาพระเป็นเจ้าดายุ..." เมื่อพระพุทธศาสนายุกาลประมาณได้ 4999 ปี "...อันว่าจักรู้จักผ้าจีวรจักรู้จักสมณะน้อยหนึ่งหามิได้เลย..." เมื่อสิ้นอายุพระศาสนานั้นทรงพรรณาไว้ว่า 


"...เมื่อปีอันจักสิ้นศาสนา พระพุทธเป็นเจ้าที่สุดทั้งหลายอั้น ปีชวด เดือนหก บูรณมี วันเสาร์ วันไทยวันระรายสันวันไพสาขฤกษ์ เถิงเมื่อวันดังนั้น แต่พระธาตุทั้งหลายอันมีในแผ่นดินนี้ก็ดี ในเทพโลกก็ดี ในนาคโลกก็ดี เหาะไปในกลางหาว และไปประชุมกันในลังกาทวีป แล้วจักเหาะไปอยู่ในต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่สรรเพชญตญาณ เป็นพระพุทธแต่ก่อนอั้น จึงจักกาลไฟไหม้พระธาตุทั้งอั้นสิ้นแล เปลวไฟพลุ่งขึ้นคุงพรหมโลกศาสนาพระพุทธจักสิ้น ในวันดังกล่าวอั้นแล "

ศิลาจารึกวัดป่าม่วง เป็นภาษาไทยสองหลัก เป็นภาษาบาลีหนึ่งหลัก จารึกภาษาไทยหลักที่ 1 เรียกว่า จารึกหลักที่ 5 ทำด้วยหินทราย หลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมทรงกระโจม หรือทรงยอ กว้างด้านละ 28 เซนติเมตรสองด้าน กว้างด้านละ 29 เซนติเมตรสองด้าน สูง 115 เซนติเมตร พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) พบที่วัดใหม่ (ปราสาททอง) อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.2448 จารึกด้วยอักษรไทยสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.1904 ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

ข้อความที่จารึกบอกให้ทราบว่าบริเวณวัดป่ามะม่วง เป็นรมณียสถานที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงปลูกมะม่วงไว้เป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.1904 ได้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช และเป็นพัทธสีมาที่ทรงผนวชของสมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช ก่อนถึงกาลทรงผนวชได้กล่าวถึงอดีตว่า เมื่อพญาลือไท ผู้รู้พระไตรปิฎกขึ้นเสวยราชย์ ท้าวพระยาทั้งหลายอภิเษกขึ้นชื่อ ศรีสุริยพงศ์รามมหาราชาธิราช เสวยราชย์ชอบด้วยทศพิธราชธรรม ในปี พ.ศ.1904 ทรงอาราธนาพระมหาสามีสังฆราชลังกาวงศ์ จากนครพันมาจำพรรษา ณ กรุงสุโขทัย ทรงหล่อพระพุทธรูปด้วยเนื้อทองสำริดองค์ใหญ่ ประดิษฐานด้านตะวันออกองค์มหาธาตุเจดีย์กลางเมืองสุโขทัย เมื่อออกพรรษาแล้วทรงสมาทานทศศีลเป็นดาบส หน้าพระพุทธรูปทอง อันประดิษฐานไว้เหนือราชมณเฑียร อาราธนาพระมหาสามีพร้อมคณะสงฆ์ขึ้นสู่ราชมณเฑียร ทรงบรรพชาเป็นสามเณร แล้วเสด็จไปทรงผนวช ณ พัทธสีมาวัดป่ามะม่วงในที่สุด

     จารึกภาษาไทยหลักที่ 2 เรียกว่า จารึกหลักที่ 7 ทำด้วยหินทรายแปร หลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 28 เซนติเมตรสองด้าน กว้างด้านละ 12.5 เซนติเมตรสองด้าน สูง 132 เซนติเมตร พระยารามราชภักดี (ใหญ่ ศรลัมพ์) ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย พบที่วัดป่ามะม่วง เมืองเก่าสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.2458 จารึกด้วยอักษรไทยสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.1904 ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

จากรึกหลักนี้ชำรุดมาก ด้านที่หนึ่งกับด้านที่สามอ่านจับความไม่ได้ ด้านที่สองกับด้านที่สี่พออ่านได้บ้าง เป็นการจารึกเรื่องราวของการสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ ในป่ามะม่วง เช่น กุฎี พิหาร สีมากระลาอุโบสถ และการทรงผนวชของสมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช

จารึกภาษาเขมร เรียกว่า จารึกหลักที่ 4 ทำด้วยหินแปร เป็นหลักสี่เหลี่ยมกระโจม หรือทรงยอ กว้าง 30 เซนติเมตร สูง 200 เซนติเมตร หนา 29 เซนติเมตร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพบที่โคกปราสาทร้างเมื่อคราวเสด็จถึงสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.2376 จารึกด้วยอักษรไทย ภาษาเขมร เมื่อปี พ.ศ.1904 ปัจจุบันอยู่ที่หอสมุดวชิรญาณ ภายในหอสมุดแห่งชาติพระนคร 


ข้อความในจารึกเป็นเรื่องราวคล้ายจารึกวัดป่ามะม่วงภาษาไทยหลักที่หนึ่ง คือ พระยาลิไทยทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสามีสังฆราช จากนครพันมาสุโขทัย เพื่อทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ในการทรงผนวชของพระองค์ และเล่าเรื่องพระยาลิไทย ยกพลจากศรีสัชนาลัยมายึดสุโขทัยขึ้นเสวยราชย์ตามสิทธิอันชอบธรรม

จากรึกภาษาบาลี เรียกว่า จารึกหลักที่ 6 ทำด้วยหินแปรรูปสี่เหลี่ยมทรงกระโจม หรือทรงยอ กว้างด้านละ 33 เซนติเมตรสองด้าน กว้างด้านละ 27 เซนติเมตรสองด้าน สูง 130 เซนติเมตร จารึกด้วยอักษรขอมสุโขทัย ภาษาบาลีเมื่อปี พ.ศ.1904 พระยารามราชภักดี (ใหญ่ ศรลัมพ์) ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย พบที่วัดป่ามะม่วง เมื่อปี พ.ศ.2451 ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

ข้อความที่จารึกเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสามีสังฆราช พระอุปัชฌาย์ของพระมหาธรรมราชาลิไทย มีข้อความสรรเสริญพระมหาธรรมราชา ที่ทรงผนวชด้วยพระราชศรัทธาอย่างแรงกล้า ในพระพุทธศาสนา

ศิลาจารึกวัดอโศการาม เรียกว่า ศิลาจารึกหลักที่ 93 ทำด้วยหินแปร เป็นแผ่นรูปใบเสมา กว้าง 54 เซนติเมตร สูง 134 เซนติเมตร หนา 15 เซนติเมตร ด้านที่หนึ่งมี 47 บรรทัด จารึกด้วยอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย ด้านที่สองมี 51 บรรทัด จารึกด้วยอักษรขอมสุโขทัย ภาษาบาลี เมื่อปี พ.ศ.1942 กองโบราณคดี กรมศิลปากรพบที่วัดอโศการามเมืองเก่าสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.2498 ปัจจุบันอยู่ที่หอสมุดวชิรญาณ หอสมุดแห่งชาติพระนคร 


ข้อความในจารึกมีว่า สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์อัครราชมเหสีเทพธรณีโลกรัตน์ เป็นชายาแด่สมเด็จมหาธรรมราชาธิราช กอร์ปด้วยปัญจพิธกัลยาณีมีศีลพระ...

ศิลาจารึกวัดบูรพาราม เรียกว่า ศิลาจารึกหลักที่ 286 ทำด้วยหินชนวนสีเขียว รูปใบเสมา ส่วนล่างชำรุดหักหาย มีขนาดกว้าง 59 เซนติเมตร สูง 146 เซนติเมตร หนา 12 เซนติเมตร ด้านที่หนึ่งมี 55 บรรทัด จารึกด้วยอักษรสุโขทัย ภาษาไทย ด้านที่สองมี 56 บรรทัด จารึกด้วยอักษรขอม ภาษาบาลี เมื่อปี พ.ศ.1955 พระครูปลัดสนธิ จิตฺตปญฺโญ วัดศาลาครืน เขตจอมทอง กรุงเทพ ฯ ถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตน ฯ เมื่อปี พ.ศ.2532 ซึ่งได้พระราชทานให้กรมศิลปากรจัดแสดงเพื่อการศึกษา ณ อาคารหอสมุดวชิรญาณ หอสมุดแห่งชาติ พระนคร

จารึกวัดบูรพารามระบุว่า สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์อัครราชมหิดิเทพยธรณีดิลกรัตนบพิตร เป็นเจ้า ผู้เป็นบาทบริจาริการัตนชายา แด่สมเด็จพระมหาธรรมราชา กอร์ปด้วยปัญจพิธกัลยาณี มีศิลพิริยะปรีชา...

จารึกวัดบูรพารามบอกเล่าพระราชประวัติ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระราชสามี สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์ เริ่มตั้งแต่ประสูติจากพระครรภ์ สมเด็จพระศรีธรรมราชมาดา เมื่อประมาณปี พ.ศ.1911 ทรงสำเร็จการศึกษาเมื่อพระชนมพรรษาได้ 16 ปี ได้เสวยราชย์เมื่อปี พ.ศ.1939 และเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ.1951 ในปี พ.ศ.1955 สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์ จึงทรงสร้างวัดบูรพาราม ก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 


ในจารึกหลักนี้ สมเด็จพระราชเทวี ฯ ทรงระบุสายสัมพันธ์ราชสกุล ตามลำดับพระราชอิสริยยศ คือ
  • สมเด็จมหาธรรมราชาธิราช พระราชโอรสสมเด็จพระศรีธรรมราชมาดา
  • สมเด็จพระศรีธรรมราชมาดา
  • สมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์
  • สมเด็จพระรามราชาธิราช พระราชโอรสสมเด็จพระราชเทวี ฯ
  • ศรีธรรมาโศกราช พระราชโอรสสมเด็จพระราชเทวี ฯ
การสร้างวัด ก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และการทำบุญต่าง ๆ นั้น สมเด็จพระราชเทวี ฯ ทรงอุทิศแด่สมเด็จปู่พระญา พ่อออก แม่ออก สมเด็จมหาธรรมราชาธิราช พระศรีธรรมราชมารดา และทรงอธิษฐานว่า ขอให้ได้เกิดเป็นผู้ชายในอนาคตกาล ขอให้ได้สดับตรับฟังธรรมอันประเสริฐของพระพุทธเมตไตรย ขอพระพุทธเมตไตรยดำรัสสรรเสริญพระนางท่ามกลางพุทธบริษัท ขออย่าให้ผู้อื่นเทียมทันพระนางด้วยบุญสมภารด้วยรูป ด้วยยศ ด้วยสมบัติในทุกภพทุกชาติไป

          นอกจากศิลาจารึกหลักต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว ยังมีศิลาจารึกสำคัญ ๆ ของสุโขทัยที่ให้ความรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์โบราณคดี ภาษา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีของสุโขทัยในอดีตอีกมากมาย เช่น ศิลาจารึกเขาสุมนกูฎ จารึกวัดพระยืน จารึกวัดสรศักดิ์ จารึกกฎหมายลักษณะโจร จารึกปู่สบถ จารึกวัดเขากบ จารึกวัดเขมา จารึกวัดป่าแดง จารึกพระธรรมกาย จารึกพระอภิธรรม จารึกวัดตาเถรขึ้หนัง จารึกวัดกำแพงงาม จารึกวัดพระเสด็จ จารึกนายศรีโยธาราชออกบวช จารึกภาพชาดกในอุโมงค์วัดศรีชุม 48 ภาพ กับจารึกอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ล้วนเป็นหลักฐานสำคัญของชาติไทย ให้รู้ว่าไทยเป็นประเทศเอกราชมีเอกลักษณ์ของตนเอง และเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นติดต่อกันมานานไม่น้อยกว่า 700 ปีมาแล้ว 


          แหล่งที่มา



(เรื่องที่ 14) องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ


กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์


        กำลังรบทางเรือของไทย มีกำเนิดมาควบคู่กับ การสร้างอาณาจักรไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่ในอดีตไม่ได้มี การแบ่งแยกเป็น กองทัพบก หรือกองทัพเรือ ดังเช่นปัจจุบัน เมื่อยาตราทัพไป ทางบก เพื่อทำสงครามก็เรียกว่า " ทัพบก " หากเมื่อยาตราทัพ ไปทางเรือ ก็เรียกว่า " ทัพเรือ " ในอดีต และปัจจุบันทหารเรือ ได้ยกย่อง พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็น " องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ " ซึ่งนับเป็น การเทิดทูน พระเกียรติคุณ อย่างสูงสุด เนื่องจากพระองค์ ได้ทรงนำความ เจริญรุ่งเรือง มาสู่กองทัพเรือ และ ประเทศชาติ โดยทรงวางรากฐาน การบริหารงานของกองทัพเรือ ระเบียบวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ภายในกองทัพเรือ จนทำให้ทัพเรือไทย มีความทันสมัย มีมาตรฐาน และ เจริญก้าวหน้า ทัดเทียมกับ อารยะประเทศ มาจวบจนทุกวันนี้ พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ทรงมี พระนามเดิมว่า " พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ " เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ใน พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ( วร บุนนาค ) ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง 
       พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์ เป็นเจ้านายพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษา วิชาการทหารเรือ จากประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงมีจุดประสงค์ อันแรงกล้าที่จะฝึก ให้ทหารเรือไทย เดินเรือทะเลได้อย่างชาวต่างประเทศ และ สามารถทำการรบ ทางเรือได้เนื่องจากในอดีต ประเทศไทย ได้ว่าจ้างชาวต่างชาติ มาเป็นผู้บังคับการเรือ มาโดยตลอด แม้แต่ในคราวที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จประพาสฯ ยุโรปครั้งแรก ก็ยังได้ว่าจ้าง " กัปตันคัมมิ่ง" และคณะนายทหาร เรืออังกฤษ เป็นผู้เดินเรือ ภายหลังจากที่พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สำเร็จการศึกษา และเข้ารับราชการ ทหารเรือแล้ว พระองค์ได้แก้ไข ปรับปรุงระเบียบการ ในโรงเรียนนายเรือ ทรงเป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ และริเริ่มการใช้ ระบบการปกครองบังคับบัญชา ตามระเบียบ การปกครองในเรือรบ คือการแบ่งให้นักเรียนชั้นสูง บังคับบัญชารองลงมา นอกจากนี้ยังทรงจัดเพิ่ม วิชาสำคัญสำหรับชาวเรือขึ้นเพื่อให้สำเร็จการศึกษา สามารถเดินเรือ ทางไกลในทะเลน้ำลึกได้คือ วิชา ดาราศาสตร์ ตรีโกณมิติ อุทกศาสตร์ การเดินเรือเรขาคณิต พีชคณิต ฯลฯ 

ในปี 2462 พระองค์ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ โดยนำเรือหลวงพระร่วงจากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร นับเป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทย เดินเรือได้ไกลข้ามทวีป ที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นหัวเรี่ยวหัวเเรงที่สำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงเห็นความสำคัญ และโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชวังเดิม ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อ วันที่ 20 พ.ย. 2449 ทำให้กิจการทหารเรือมี รากฐานมั่นคงนับตั้งแต่บัดนั้นและกองทัพเรือจึงยึดถือ วันดังกล่าวของทุกปีเป็น

"วันกองทัพเรือ" จากการที่พระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ ที่เล็งเห็นการไกล พระองค์ได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ เพื่อสร้างเป็นฐานทัพเรือ 

เนื่องจากทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า อ่าวสัตหีบเป็นอ่าว ที่มีขนาดใหญ่ น้ำลึกเหมาะแก่การฝึกซ้อม ยิงตอร์ปิโดได้และเกาะน้อยใหญ่ ที่รายล้อมรอบสามารถบังคับคลื่นลมได้เป็น อย่างดี อีกทั้งเรือภายนอกเมื่อแล่นผ่านพื้นที่ดังกล่าว จะไม่สามารถมองเห็นฐานทัพได้เลย นอกจากพระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ด้านการแพทย์พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง และเสด็จไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ให้กับประชาชนด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าเป็นคนไทยหรือคนจีน จนกระทั่งชาวจีนย่านสำเพ็ง มีความซาบซึ้ง ในพระกรุณาธิคุณ และได้เรียกพระองค์ท่านว่า "เตี่ย" ซึ่งหมายถึง “พ่อ” ทำให้ในเวลาต่อมาทหารเรือได้เรียกพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย" สำหรับในหมู่คนไข้ชาวไทย ที่พระองค์รักษานั้น มักจะเรียกขานนามพระองค์ว่า "หมอพร"

พล.อ.ร.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงประชวร และสิ้นพระชนม์ ในขณะที่ประทับอยู่ที่หาดทรายรี ปากน้ำเมืองชุมพร เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2466 เวลา 11.40 น. ยังความโศกเศร้ามาสู่บรรดาทหารเรือยิ่งนัก

พระประสูติกาล
       พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นับลำดับราชสกุลวงศ์เป็นองค์ที่ 28 มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2423 เวลา 15.57 น. ตรงกับแรม 3 ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง จุลศักราช 1242 เป็นพระลูกยาเธอองค์ที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ( วร บุญนาค) สมุหพระกลาโหมในรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงมีพระกนิษฐาและพระอนุชา ร่วมพระมารดา 2 พระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุพา ( สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ ) และพระองค์เจ้าสุริยงประยูรพันธุ์ ( ต่อมาได้ดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส - ต้นราชสกุล สุริยง )




การศึกษาเมื่อทรงพระเยาว์      ทรงได้รับการศึกษาขั้นแรกที่โรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง สมัยนั้นเป็นสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มจัดการศึกษาในรูป โรงเรียน ทรงเลือกเฟ้นหาครูดีมาถวายพระอักษรแด่พระเจ้าลูกยาเธอทั้งหลาย เช่น พระศรีสุนทรโวหาร, หม่อมเจ้าประภากร ( ต้นราชสกุลมาลากุล ), พระยาอิศรพันธุ์โสภณ ( หนู อิสรางกูร ) พระองค์เจ้าอาภากร ศึกษาวิชาภาษาไทยกับ พระยาอิศรพันธุ์โสภณ ( หนู อิสรางกูร ) และศึกษาวิชาภาษาอังกฤษกับ มิสเตอร์ โรเบิร์ต มอแรนต์ ซึ่งเป็นหลานของฟลอเรนซ์ ไนติงเกิล ทรงเข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนหลวง ณ พระตำหนักสวนกุหลาบจนถึง พิธีโสกันต์ เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2435 ( ร.ศ. 111 ) พระองค์ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ 

คณาจารย์ของเสด็จในกรมฯ         จากคำบอกเล่าของหม่อมเจ้าหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร พระธิดาเสด็จในกรมเล่าว่า 
"ทรงสักยันต์ทั้งองค์ตั้งแต่หนุ่มๆ เช่น สักหนุมาน สักลิงลมที่พระชงฆ์ทำให้เดินเร็ว ใครตามแทบไม่ทัน ที่อุระทรงสักตัวเลข ตราด ร.ศ. 112 เพราะรับสั่งว่า "ฝรั่งเศสเข้ามาเอาเมืองเราเมื่อ 112 ต้องจำ มีคนเล่าว่าท่านทรงเลี้ยงผี ซึ่งก็จริง เพราะท่านทรงปั้นหุ่นเล็กๆที่เรียกว่า "หุ่นพยนต์" แล้วปักเสียบปักไว้หน้าวัง รอบๆสนามเมื่อคราวออกจากราชการ มีคนพูดว่า ที่วังนี้เลี้ยงคนไว้เยอะจัง พอตอนกลางคืนเห็นคนวิ่งเกรียวกราวตอนดึกๆดื่นๆ นอกจากนี้ยังมีกระดูกหน้าผากแม่นาคพระโขนง คาดไว้ที่บั้นพระองค์ ไม่ทราบว่าใครนำมาถวาย 

เสด็จพ่อทรงเชื่อไสยศาสตร์ มีพระอาจารย์ที่สำคัญและสนิทมากคือ หลวงปู่ศุข หลวงพ่อพริ้ง หลวงพ่อเขียว หลวงพ่อเงิน" จากการรวบรวมบรรดาคณาจารย์ พบเกจิอาจารย์ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือถึง 10 รูป ฆราวาส 1 คน และเทพนารีอีก 2 พระองค์ 



1. หลวงปู่ดำ (หลวงพ่อใหญ่ หรือ พระครูเทพโลกอุดร ) จ. ภูเก็ต
2. หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ จ.อยุธยา
3. หลวงปู่ศุข วัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า จ. ชัยนาท
4. หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร
5. หลวงพ่ออี๋ สัตหีบ
6. หลวงพ่อจร วัดดอนรวบ จ. ชุมพร
7. หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก
8. หลวงพ่อเจียม จ. ชลบุรี
9. หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโล่นอก
10. หลวงพ่อเขียว วัดเครือวัลย์

ฆราวาส คือ ตากัน สัตหีบ
เทพนารี คือ พระนางอุมาเทวี และเซี้ยวโกว ( เจ้าแม่ทับทิม ) 

รัชกาลที่ 5 ทรงวางรากฐานราชนาวีไทย 
      ในสมัยนั้นมีกรมทำหน้าที่ทหารเรืออยู่ 2 กรม คือ กรมทหารเรือพระที่นั่ง เวสาตรี และกรมอรสุมพล เป็นกองเรือรบที่เรียกว่า "ทหารมะรีน" รวมอยู่ในบังคับบัญชาเดียวกัน แต่ยังขาดเอกภาพ

ในปี พ.ศ. 2430 ได้ทรงจัดตั้งกรมเสนาธิการขึ้น จึงรวมทั้ง 2 กรมเข้าด้วยกันเป็นกรมทหารเรือ นอกจากนี้ พระองค์ท่านยังปรับปรุงเรือกลไฟจากเครื่องจักรข้างเป็นเรือจักรอีกด้วย ทรงเร่งรัดและปรับปรุงให้ขยายคู่เรือ และยังมีพระบรมราชองค์การให้ปรับปรุงซ่อมแซมป้อมเก่า สร้างป้อมใหม่ที่ทันสมัยเพื่อป้องกันพระนคร และได้พระราชทานนามว่า "ป้อมพระจุลจอมเกล้า"

หลังจากเกิดเหตุการณ์เรือรบฝรั่งเศสเข้ามาปิดปากอ่าว เมื่อ 13 กรกฎาคม 2436 พระองค์ทรงให้พระองค์เจ้าอาภากร ( ขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 13 พรรษา ) เสด็จไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษ ได้ทรงศึกษาวิชาทหารเรือ พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ดังนี้

พระที่นั่งอมรพิมานมณี
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก 113 ถึงชายอาภากรเกียรติวงศ์

ด้วยได้รับหนังสือวันที่ 9 และหนังสืออื่นๆ ก่อนหน้านี้แล้วให้อุตส่าห์เล่าเรียนแลแสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ อย่าให้มีความบันเทิงใจในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เหลือเกิน ให้เป็นแต่ธรรมดาสามัญคนซึ่งต้องมีความสุขเป็นเครื่องเลี้ยงชีพอยู่ จะได้เป็นประโยชน์ส่วนตัวแลบ้านเมืองของตนสืบไป...

ชีวิตนักเรียนนายเรือ
      พระองค์เจ้าอาภากร ทรงสอบความรู้ชั้นสุดท้ายของนักเรียนนายเรืออังกฤษได้เกณฑ์ดี และพร้อมที่จะรับการฝึกในเรือรบอังกฤษ กระทรวงทหารเรืออังกฤษได้จัดให้เข้ารับการฝึกงานในเรือหลวง Revenge ซึ่งเป็นเรือของ พลเรือตรีแฮร์ริส ประจำการอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
     ในระหว่างที่ทรงฝึกงานอยู่ ได้เกิดจลาจลขึ้นที่เกาะครีต พระองค์ทรงเป็นผู้บัญชาการทหารยกพลขึ้นบกไปปราบจลาจล ขณะนั้นมีพระชนม์เพียง 18 พรรษา ทรงเล่าให้พระยาหาญกลางสมุทรว่า ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย หนาวก็หนาว ในสนามรบต้องนอนกับศพที่ตายใหม่ๆ และซ้ำยังอดอาหาร บางครั้งต้องจับหอยทากมาเสวยกับหัวหอม ศพที่ถูกยิงที่ท้องนับว่าเหม็นอย่างร้ายกาจ ถึงแม้ว่าจะเป็นศพใหม่ก็ตาม 
ใน พ.ศ. 2443 พระองค์ทรงเข้าศึกษาที่วิทยาลัยทหารเรือกรีนิช ในวิชาเดินเรือและการนำร่อง พระองค์ทรงทดสอบความรู้ได้คะแนน 787 จาก 1000 คะแนน เป็นลำดับที่ 7 ในจำนวนนายทหาร 17 คน

หลังจากทรงใช้เวลาศึกษาวิชาทหารเรือนาน 6 ปีเศษ ๆ ในราชนาวีอังกฤษ จึงได้เสด็จกลับมาแผ่นดินสยาม 11 มิถุนายน ร.ศ. 119 ในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2443 เข้ารับราชการกองทัพเรือไทย ได้รับพระราชทานยศเป็น นายเรือโทผู้บังคับการ ( เทียบเท่านาวาตรีในปัจจุบัน ) 

ตราด ร.ศ. 112        ตราด ร.ศ. 112 คือ รอยสักที่เสด็จในกรมฯ ทรงสักให้นักเรียนนายเรือรุ่นแรกๆเพียงไม่กี่คนด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง รวมทั้งที่พระอุระของพระองค์ก็สักคำนี้ด้วยเช่นกัน เพื่อให้เป็นที่ระลึกและจดจำเหตุการณ์นี้ เนื่องด้วยคราวนั้นประเทศไทยถูกรุกรานทางทะเลจากฝรั่งเศส เกิดการรบที่ปากแม่นำเจ้าพระยา เหตุการณ์นี้ทำให้เราต้องสูญเสียดินแดนไปบางส่วน พร้อมกับเสียเงินค่าทำขวัญ จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราดถูกยึดเป็นประกัน ทำให้เสด็จในกรมฯ ทรงเจ็บแค้นพระทัยเป็นอย่างมาก จึงสักไว้เป็นที่ระลึกในเหตุการณ์นี้

นอกจากการสักแล้ว เสด็จในกรมฯ ทรงแต่งเพลง หะเบสสมอ ( หรือ "ดอกประดู่" ในปัจจุบัน ) และอื่นๆอีกหลายบทเพื่อปลุกใจนักเรียนนายเรือให้กล้าหาญ และทรงให้สร้างน้ำตาลซึ่งเป็นเรือจำลองมีคำว่า ร.ศ. 112 ที่หัวเรือ ตั้งไว้บนบกเพื่อให้นักเรียนนายเรือชั้น 4 ชั้น 5 ฝึกแก้อัตราผิดของเข็มทิศ เพื่อเวลานำเรือออกท้องทะเลลึกโดยเข็มไม่ผิด และให้เห็นเรือน้ำตาลทุกวันเป็นการเตือนใจให้หาทางแก้เผ็ด และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

สมรสพระราชทาน
    รัชกาลที่ 5 ทรงสู่ขอพระราชธิดาองค์โต – หม่องเจ้าหญิงทิพยสัมพันธ์ ของ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภานุรังษีสว่างวงศ์ ในอภิเษกสมรสกับเสด็จในกรมฯ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2443 พระองค์ทรงมีโอรส และพระธิดา 3 พระองค์คือ

1. มจ. เกียรติ อาภากร ประสูติและสิ้นชีพิตักษัยในวันเดียวกัน
2. (พล.ท. , พล.ร.ท., พล.อ.ท) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา
3. พล.อ.ท. มจ.รังษิยากร อาภากร 


บรรดาหม่อมของเสด็จในกรม 
1. หม่อมกิม
2. หม่อมแฉล้ม
3. หม่อมเมี้ยน
4. หม่อมช้อย
5. หม่อมแจ่ม ( น้องร่วมมารดาเดียวกับหม่อมเมี้ยน) 


การออกจากราชการ 
     พระองค์ได้ออกจากราชการเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2454 เนื่องจากกรณีที่ถูกคิดว่า พระองค์จะคิดล้มราชบังลังก์ ร. 6 ซึ่งพระองค์ก็ยินยอมเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ตั้งแต่นั้นพระองค์ก็ศึกษาและเขียนตำรายา จึงได้สมญาว่า "หมอพร" พระองค์ได้เสด็จไปรักษาคนไข้ทั่วไป โดยมีตำรวจสะกดรอยตามไปดูด้วย แต่พระองค์ก็หายตัวทุกครั้งเมื่อรักษาเสร็จ

แม้การออกจากราชการมิได้ทำให้อำนาจของพระองค์หมดไป เมื่อครั้งพระองค์เสด็จไปตรวจตราปืนที่ป้อมพระจุลฯ พบว่า มีจุดที่ต้องแก้ไขทั้ง 6กระบอก จึงรับสั่งให้คนดูแลเอากระดาษมา แล้วเขียนบันทึกถึงกรมพระนครสวรรค์ เสนาบดีทหารเรือ กรมพระนครสวรรค์ได้ปฏิบัติตามข้อแนะนำอย่าเคร่งครัด และทำบันทึกการแก้ไขไว้เพื่อป้องกันการเข้าถึงพระเนตรพระกรรณของ ในหลวง ร. 6 แล้วเกิดความเดือดร้อนกันเสด็จเตี่ยในภายหลัง 

การกลับเข้ารับราชการ        ในวันที่ 1 สิงหาคม 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กลับเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือ แล้วพระราชทานยศให้เป็นพลเรือโทตามลำดับ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 พระองค์ได้จับเรือเชลยได้ 6 ลำ หลังจากนั้นก็ทรงทูลขอที่ดินสร้างฐานทัพเรือสัตหีบ และทรงซื้อเรือรบหลวงพระร่วง ซึ่งพระองค์เดินทางไปรับเรือด้วยพระองค์เอง และขับเรือกลับมายังแผ่นดินสยาม นับเป็นคนไทยคนแรกที่สามารถบังคับเรือได้ไกล

เสด็จในกรมฯ ทรงรับตำแหน่งเสนาบดี กระทรวงทหารเรือไม่กี่วัน ได้กราบบังคมลาราชการออกไป เพราะมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ และประชวรโรคภายใน ทางกระทรวงทหารเรือได้ถวายเรือหลวงเจนทะเลเป็นพาหนะ พร้อมนายแพทย์ประจำพระองค์ตามเสด็จไปที่ด้านใต้ปากน้ำเมืองชุมพร ซึ่งเป็นที่ที่พระองค์จองไว้เพื่อทำสวน ขณะประทับอยู่ก็เป็นไข้หวัดใหญ่เนื่องจากตากฝน ประชวรอยู่ได้ 3 วันก็ชิ้นพระชนม์ที่ตำบลหาดทรายรี ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2466 สิริพระชนมายุ 44 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเพลิงศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง วันที่ 24 ธันวาคม 2466 

บันทึกของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
     เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรู้ว่า
"กูกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์"
ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า
แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษได้เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิตเข้าแลกไว้
ไอ้อีมันผู้ใด คิดบังอาจทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ฤๅ กระทำการทุจริตก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม
จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว
ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตร
ให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยามอันเป็นที่รักของกู
ตราบใดที่คำว่า "อาภากร" ยังยืนหยัดอยู่ในโลก
กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู
ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา
แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข
มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น.


คำสอนของเสด็จเตี่ย
"ตอกตะปูลงตรงนะเจ้าเด็ก
เสียงเป๊กตีตรง ลงที่หัว
เมื่อเจ้าตีเหล็กนะเจ้าเด็กเจ้าอย่ากลัว
ตีเมื่อตัวเหล็กยังแดงเป็นแสงไฟ
เมื่องานมีที่ต้องทำ นะเจ้าเด็ก
เป็นข้อเอกทำจริง ไม่ทิ้งไถล
ที่เขาขึ้นยอดได้ สบายใจ
ก็เพราะได้ปีนเดิน ขึ้นเนินมา
ถ้าเด็กใดยืนแช อยู่แต่ล่าง
แหงนคว้างมองแล สู่เวหา
จะขึ้นได้อย่างไร นะลูกยา
ทำแต่ท่าแต่ไม่ลอง ทำนองปีน
ถึงหกล้มหกลุก นะลูกแก้ว
อย่าทำแซ่วเสียใจ ไม่ถวิล
ลองเถิดลองอีกนะ อย่าราคิน
ที่สุดสิ้นเจ้าคงสม อารมณ์เอย."

Work while you work.
Play while you play.
That is the way.
To be cheerful and gay.

All that you do.
Do whit your might.
Things done by half.
Are never done right. 


       
         แหล่งที่มา

http://www.baanjomyut.com

(เรื่องที่ 13) ศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศสิงคโปร์


       

                 รัฐบาลสิงคโปร์ได้พยายามผลักดันประเทศสิงคโปร์ให้เป็นศูนย์กลางทางศิลปะและวัฒนธรรม จนได้รับความสำเร็จในระดับที่ดีเยี่ยม 

เกาะแห่งนี้รักษาวัฒนธรรมของตนไว้ได้และยังสามารถเป็นศูนย์กลางสำหรับการแสดงทางศิลปะสากลอีกด้วย คณะกรรมการศิลปะแห่งชาติยังมีการจัดงานศิลปะประจำปีซึ่งมีการแสดงทางศิลปะต่างๆ ได้แก่ การเต้นรำ เพลง ละคร ทัศนศิลป์ และศิลปะแขนงอื่นๆอีกมากมาย ชาวสิงคโปร์ได้มีการทุ่มเทอย่างมากให้กับการกีฬาและสันทนาการ 


สิ่งอำนวยความสะดวกทางด้านกีฬาในประเทศสิงคโปร์

        ชาวสิงคโปร์เล่นกีฬาฟุตบอล คริกเก็ต แบดมินตัน บาสเก็ตบอล รักบี้ ปิงปอง และวอลเลย์บอล ปกติแล้วในแถบย่านที่อยู่อาศัยของประชากรจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสันทนาการจัดไว้ให้แล้ว กีฬาทางน้ำ เช่น ดำน้ำ สกีน้ำ เรือคายัก และ ว่ายน้ำ ยังเป็นที่นิยมกันบนเกาะนี้ 

สนามกีฬาแห่งชาติของสิงคโปร์เปิดให้บริการเมื่อปี 1973 และถูกใช้เป็นสถานที่แสดงทางวัฒนธรรม การกีฬา และความบันเทิงต่างๆ และถูกปิดลงในปี 2007 หลังจากศูนย์กลางการกีฬาของสิงคโปร์ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่เดียวกันนั้น โดยได้มีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2007 และจะพร้อมใช้ในปี 2011 

ชาวสิงคโปร์สร้างผลงานได้ดีในด้านการกีฬาและสันทนาการจนได้รับชื่อเสียงไปทั่วโลก ด้วยการผสมผสานของวัฒนธรรมและความทันสมัย สิงคโปร์ได้มอบโครงสร้างทางศิลปะที่ดีที่สุดให้กับประชากรและนักท่องเที่ยว 



ศาสนาต่างๆในประเทศสิงคโปร์
          การนำเรือกลไฟมาใช้ขนส่งสินค้า ทำให้การขนส่งเร็วขึ้น และราคาถูกขึ้น เพราะมีความสามารถมากกว่าเรือพายนี่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การค้าเติบโตในสิงคโปร์ การเปิดใช้คลองสุเอช มีผลต่อการค้าอย่างมาก เพราะช่วยให้การใช้เวลาเดินทาง เช่น จากยุโรป ไปเอเชีย ลดลงอย่างมาก ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าของสิงคโปร์มากขึ้น กิจกรรมทางการค้าที่สร้างผลประโยชน์ให้กับสิงคโปร์ได้แก่ สินค้าที่ผู้ค้านำเข้าและส่งออกสินค้าไม่ต้องเสียภาษี ผลประโยชน์ทางการค้าสำเร็จได้ด้วยการตั้งข้อกำหนดสินค้าและความสำคัญของสินค้า ตัวอย่างเช่น ความต้องการเครื่องเทศในยุโรปรวมกับสินค้าอื่นๆทำให้สิงคโปร์เป็นด่านสินค้าที่สำคัญ สิงคโปร์สร้างผลกำไรโดยติดราคาตลาดสูงกว่าราคาทุน ในปัจจุบันการค้าแบบนี้ถูกแทนที่โดยศุลกากรซึ่งเรียกเก็บภาษีจากสินค้าต่างๆ
 
วัฒนธรรมของสิงคโปร์
          ประชากรสิงคโปร์มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ อีกทั้งส่วนใหญ่ยังยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิม ทำให้สิงคโปร์มีวัฒนธรรมหลากหลาย ทั้งทางด้านอาหาร การแต่งกาย ตลอดจนการเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ และความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าที่แตกต่างกันไป ชาวจีนส่วนมากบูชาเจ้าแม่กวนอิมธิดาแห่งความสุข กวนอูเทพเจ้าแห่งความยุติธรรม รวมถึงเทพเจ้าจีนองค์อื่นๆ ขณะที่ชาวฮินดูบูชา เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ เป็นต้น

ชาว สิงคโปร์มีวัฒนธรรมหลากหลายแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ แต่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน โดยส่วนมากมักเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา รวมถึงความเชื่อเรื่องเทพเจ้า จากการที่มีประชากรหลายเชื้อชาติ สิงคโปร์จึงมีผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ คือ พระพุทธศาสนา ศาสนาฮินดู คริสต์ศาสนา และ ลัทธิเต๋าเทศกาล สำคัญของสิงคโปร์ ส่วนมากมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา เริ่มตั้งแต่เทศกาลตรุษจีน (Chinese New Year) ในเดือนกุมภาพันธ์ ชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีนจะจัดงานเซ่นไหว้เทพเจ้าและงานรื่นเริงสนุกสนาน อื่นๆ โดยรัฐบาล ห้างร้าน และบริษัทต่างๆ จะหยุดทำการเป็นเวลา 2 วัน แต่บางแห่งอาจหยุดนานถึง 15 วัน เทศกาล Good Friday ของชาวคริสต์ในเดือนเมษายน จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงการสละชีวิตของพระเยซูบนไม้กางเขน เทศกาลวิสาขบูชา (Vesak Day) ของ ชาวพุทธจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม เพื่อระลึกถึงการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เทศกาล Hari Raya Puasa ในเดือนตุลาคม เป็นการเฉลิมฉลองของชาวมุสลิมหลังการสิ้นสุดพิธีถือศีลอดหรือรอมฏอน (Ramadan) และเทศกาล Deepavali ในเดือนพฤศจิกายน เป็นเทศกาลแห่งแสงสว่างและเป็นงานขึ้นปีใหม่ของชาวฮินดูในสิงคโปร์ 






รูปปั้นหน้าวัดแสดงถึงวัฒนธรรมอินเดีย

               

            แหล่งที่มา

(เรื่องที่ 12) สถานที่ท่องเที่ยวประเทศลาว

หลายปีมานี้เอง ลาว กำลังพัฒนาการท่องเที่ยวอย่าง ต่อเนื่องลาว เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวเพื่อสัญจรท่อง ไปยังขุนเขา ลำน้ำ อุโมงค์ และ เมืองต่างๆที่มีภูมิทัศน์มหัศจรรย์ที่สวยสดงดงามตาที่ธรรมชาติมอบไว้ให้ ตระการไปกับภาพอดีตแห่งความรุ่งเรืองบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาต่างๆของอาณาจักร ล้านช้าง ลาวมีสภาพไม่ต่างไปจากไทยเมื่อสมัย 30 ปีก่อน ที่มีการค้าพาณิชย์และ ความเจริญรุ่งเรืองอยู่เพียงประปรายเท่านั้นแม่น้ำโขงที่เป็นพรมแดนธรรมชาติ แบ่งสองชนชาติผ่าน ฝั่งไทย และ ลาว แต่วิถีชีวิตบนสองฟากฝั่ง แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมืองหลวงพระบาง หรือ นครล้านช้าง เมืองแห่งมรดกโลก "หลวงพระบาง " เมืองแห่งมรดกโลก ซึ่งเคยเป็นนครหลวงและเป็น ที่ประทับของกษัตริย์ลาวมาถึงศตวรรษที่ 16 ได้รับการอนุรักษ์ ไว้เป็นอย่างดีจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก ในสมัยโบราณนั้น เมืองหลวงพระบางเคยเป็นที่ตั้งของแว่นแคว้น ต่างๆของชนเผ่าไท-ลาว ในเขตลุ่มแม่น้ำโขง-แม่น้ำคาน แม่น้ำอู และแม่น้ำเชืองมาก่อนในปี ค.ศ.1353 เจ้าฟ้างุ้มได้มีการรวบรวมแผ่นดิน ก่อตั้งอาณาจักรล้านช้างขึ้นในบริเวณเมืองหลวงพระบาง ซึ่งเป็นสมัยที่เรียกว่า "เมืองชวา"เพระามีชาวชวาเข้ามา
อาศัยอยู่มาก ครั้นในปี ค.ศ.1357 จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมือง "เชียงทอง"

                ต่อมาไม่นานนัก พระเจ้าแผ่นดินของเขมรได้ส่งพระบางซึ่งเป็นพระพุทธรูป แบบสิงหลมาพระราชทานให้ เจ้าฟ้างุ้มจึงทรงเปลี่ยนชื่อเมือง เป็น "หลวงพระบาง" ตามชื่อพระพุทธรูปในปี ค.ศ.1545 พระเจ้าโพธิสาร โปรดให้ย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้างมาอยู่ เวียงจันทร์แต่หลวงพระบางก็ยังคงเป็นราชธานี ที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตอยู่ดังเดิม หลังปี ค.ศ.1694 นครล้านช้างล่มสลายลงและแตกออกเป็นสามอาณาจักร คือ ล้านช้างหลวงพระบาง ล้านช้างเวียงจันทร์ และ จำปาศักดิ์ กษัตริย์สายล้านช้างหลวงพระบางยังคงสืบทอดบัลลังก์ ต่อกันเรื่อยมาจนขบวนการประเทศลาวล้มล้าง สถาบันกษัตริย์ลงในปี ค.ศ.1975 แต่ส่วนใหญ่แล้วมักตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศไทย เวียดนาม 
  และ ฝรั่งเศสในต่างวาระกัน
วัดเชียงทอง
      ตั้งอยู่บนถนนโพธิสารราช ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงพอดี วัดเชียงทองเป็นวัดที่สำคัญและสวยงาม ได้รับการมาเยือนชมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากที่สุดก็ว่าได้ นักโบราณคดียกย่องว่าวัดเชียงทอง เป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว วัดเชียงทองสร้างขึ้นก่อนหน้าที่ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจะย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทร์ไม่นานนัก และยังได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้ามหาชีวิตสว่างวงค์ และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของลาว รูปแบบสถาปัตยกรรมทางศาสนา แบบหลวงพระบางแท้ คือมีหลังคาแอ่นโค้ง และลาดลงต่ำมากจนแลดูค่อนข้างเตี้ย พระโพธิสารราชเจ้า ทรงสร้างวัดเชียงทองขึ้นในปี ค.ศ. 1560 และมีฐานะเป็นวัดหลวงในพระราชูปถัมภ์เรื่อยมาจนถึงปี 1975 ติดกับพระอุโบสถมีวิหารเล็กๆหลังหนึ่งเรียกกันว่า "วิหารแดง" ภายในประดิษฐฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ที่งามแปลกตากว่าที่อื่นใดด้วยสัดส่วน จีวรที่จีบเป็นริ้วโค้งออกมาทางด้านนอกตรงเหนือช้อพระบาท และ พระหัตถ์ซึ่งรองรับพระเศียรไว้อย่างสง่างาม และอ่อนช้อย พระพุทธรูปองค์นี้เคยถูกนำไปจัดแสดงอยู่ที่กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1931 และ ไปประดิษฐานอยู่เวียงจันทร์หลายสิบปีก่อนกลับคืนสู่หลวงพระบางในปี ค.ศ.1964
วัดแสนสุขาราม
       
ในบรรดาวัดท้งหมดวัดแสนสุขารามนั้นที่เป็นเจ้าของ พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่
องค์เดียวในเมืองหลวงพระบาง เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้าง ภายหลังหลวงพระบางแยกออกจากนครเวียงจันทร์เมื่อ 11 ปีที่แล้วเป็นอีกอาณาจักรหนึ่งก่อนหน้านั้นบริเวณที่สร้างวัดแสนสุขารามมีวัดเก่าอยู่ก่อนหน้านั้นสร้างขึ้นเมื่อ คริสตวรรษที่ 15 พระยืนที่สูงและใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง มีพระพักตร์ที่งดงามผ่องแผ้ว ข้างหอพระยืนมีหอรอยพระพุทธบาทจำลอง ส่วนพระอุโบสถดูงดงามอลังการด้วยการ
ทาสีแดงและเขียนภาพสีทองลงบนพื้นแดงภายในมีการตกแต่งประดับประดาที่มีสีสัน
สวยสดงดงามหาที่ติ พระประธานมีความงามชดช้อย

วัดใหม่สุวรรณภูมาราม
      
ชาวหลวงพระบาง เรียกสั้นๆว่า วัดใหม่ ซึ่งมีอายุในต้นศตวรรษ ที่ 19 และ เคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระสังฆราชลาว มาก่อน อุโบสถของวัดนี้สร้างด้วยเครื่องไม้มีหลังคาซ้อนกัน ห้าชั้นตามแบบหลวงพระบาง กำแพงพระระเบียงด้านหน้า ทำเป็นลายรดน้ำปิดทองเล่าเรื่องรามายณะและพระเวสสันดรชาดก พระบางเคย ประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และ ในวันปีใหม่จะมีการแห่แหน พระบางออกมา ให้ประชาชนได้สักการะบูชากันที่นี่ ปัจจุบันวัดใหม่ใช้เป็นโรงเรียนปริยัติธรรม 
พระราชวังหลวงพระบาง
             
ซึ่งตั้งอยู่ทางขึ้นภูษีทางบันไดด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ อยู่ใกล้กับที่ตั้งของ พระราชวัง มีถนนศรีสว่างวงค์สายเล็กๆคั่นเอาไว้นักท่องเที่ยวจึงสามารถเดินเที่ยวชมพระราชวัง ค่าเข้าชมที่นี่คนละ 10,000 กีบ ภายในจัดแสดงประวัติศาสตร์ อันเก่าแก่ของเมืองหลวงพระบาง พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1904 เพื่อเป็นที่ประทับของพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงค์ ลักษณะ เป็นศิลปะแบบลาวผสมฝรั่งเศส มีแผนผังเป็นรูปกากบาท และ สร้างฐานซ้อนกันหลายชั้น ห้องโถงด้านหน้าเป็นที่ประดิษฐาน พระบางซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของลาว องค์พระสูง 83 เซนติเมตร พระหัตถ์แสดงปางอภัยมุทรา หล่อขึ้นด้วยทองคำ บริสุทธิ์เกือบทั้งองค์ รวมน้ำหนักทั้งสิ้นราว 43 ถึง 54 กิโลกรัม คามตำนานเล่าว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นที่เกาะสิงหลเมื่อราวศตวรรษ ที่ 1 เจ้าฟ้างุ้ม ทรงได้รับพระราชทานจากกษัตริย์เขมรมาอีกต่อหนึ่ง แต่ก็ต้องตกไปอยู่ในเมืองสยามถึงสองครั้ง ปี 1779 และ 1827 จน ปี 1867 พระบาทสมเด็จพระจอเกล้าฯจึงทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานกลับคืน ไปให้ภายในห้องยังมีฉากลับแลผ้าไหมปักลวดลาย ด้วยฝีมือ ประณีตและงาช้างแกะสลักอีกไม่น้อยที่เหลือเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ภาพบุดคล บรรณาการจากต่างชาติ และ งานศิลปะมากมายและงานประดับกระเบื้องอยู่รอบๆตัวอาคาร และ ยังมีโรงละครภายในราชวัง ตรงข้ามหอพระบางซึ่งเย็นวันนี้จะมีการแสดง พระลักษณ์ พระราม ในเวลา 18.00 น. เป็นการแสดงของนักเรียน ซึ่งเพิ่งเริ่มเปิดการแสดงไม่นานนี้เองซึ่งใช้เวลาที่นี่ ต้องก่อน 11.00 น. เพราะพระราชววังจากปิดรับประทานอาหารเที่ยง และ นอนพัก ซึ่งที่นี่จะเปิดอีกที ก็ประมาณ 13.00 น.

 วัดวิชุนราช 
        ซึ่งตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพระบาง ถนน วิชุนราช ค่าเข้าชมคนละ 5,000 กีบ ในบรรดาวัดทั้งหมดของเมืองหลวงพระบางเป็นต้องยกให ้วัดวิชุน ในความแปลกที่พระธาตุเจดีย์ รูปโค้งมนเหมือนผลแตงโม และ เจดีย์รูปทรงแปลกตานี้เอง ที่กระทรวงแถลงข่าว และวัฒนธรรมของลาวยกให้มีความสำคัญ ความโดดเด่น ของวัดวิชุน แม้เพียงนั่งรถผ่านไปถนนวิชุนราชก็ จะแลเห็นเจดีย์รูปแตงโมผ่าครึ่งนี้สะดุดตา และ ภายในพระอุโบสถของวัดวิชุน ด้านหลังของพระประธานมีโบราณวัตถุที่เก็บรวบรวมมาจากวัดร้างต่างๆ ในหลวงพระบาง เช่น พระพุทธรูปสำริด ไม้จำหลัดลวดลายต่างๆ พระพุทธรูปไม้แกะสลักลงรัก ปิดทองเท่าคนจริงจำนวนมาก พระธาตุจอมษีบนยอดเขาสูงสุดของภูษี สถานที่ท่องเที่ยที่นิยมมากที่สุดที่ไม่ควรพลาด เป็นสเมือน "ถ้ามาถึงหลวงพระบาง ไม่ได้ขึ้นยอดเขาภูษีถือว่าไม่ถึง หลวงพระบาง หรือ เที่ยวเชียงใหม่ แล้วไม่ขึ้นไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ก็มาไม่ถึงเชียงใหม่เช่นเดียวกัน" ยอดเขาภูษี เพื่อจะชมความงามของพระอาทิตย์ตกดิน ยอดเขา ภูษี เป็นยอดเขาที่มีความสูงราว 150 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางเมือง หลวงพระบาง การได้เดินขึ้นไปบนยอดเขาภูษี 328 ขั้น ทำให้เห็นเมืองหลวงพระบาง และ เห็นสายลำแม่น้ำโขงและ แม่น้ำคานอย่างชัดเจน และ ใกล้นี้เองก็ชมพระธาตุจอมสี ตั้งอยู่บนยอดสูงของภูษี พระธาตุสามารถมองเห็นได้แต่ไกลรอบๆเมือง หลวงพระบาง ตัวพระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมทาสีทอง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมยอดประดับด้วยเศวตฉัตรทองสำริด 7 ชั้น สูงประมาณ 21 เมตร ช่วงที่งดงามมากที่สุด คือช่วงบ่าย แสงแดดจะสาดส่องมายังที่พระธาตุให้เห็นเป็นสีทองเหลืองอร่ามตา มีทางเดินรอบๆพระธาตุนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่ สเมือนที่นี่เป็นจุดนัดพบของเหล่านักท่องเที่ยวนานาชาติ ที่กระหายหาความงดงามของพระอาทิตย์ยามอัสดงอย่างแน่นหนาทีเดียว

           

ตลาดม้ง
         เป็นตลาดของชาวม้งที่อาศัยอยู่บริเวณรอบหลวงพระบาง เป็นชนกลุ่มน้อย กลุ่มหนึ่งที่มีความสำคัญ และ มีบทบาทในประเทศลาวมาก ตลาดม้งเป็นตลาดที่ เป็นสินค้าจากชาวเขาเผ่าม้งของลาว เช่น ผ้าทอปักลวดลายต่างๆ เช่น ปลอกหมอน กระเป๋า ผ้าห่ม เสื้อผ้า และ เครื่องเงิน ที่มีราคาถูกและ ย่อมเยา "ถ้ำติ่ง" ซึ่งเป็นสถานที่นักท่องเที่ยวนิยมจะมาแวะเยี่ยมชม ค่าเข้าชมถ้ำ ก็คนละ 8000 กีบ หรือ 20 บาท ก็ได้ ถ้ำติ่งประกอบด้วย 2 ถ้ำแยกด้านขวาไปถ้ำติ่งลุ่ม (ล่าง) แยกซ้ายไปถ้ำติ่งเทิง (บน) ถ้ำติ่งลุ่ม หรือ ถ้ำติ่งล่างนั้น สูง 60 เมตรจากพื้นน้ำมีลักษณะเป็นโพรงถ้ำตื้นเล็กๆมีหินงอกหินย้อย แต่ไม่ค่อยสวยเท่าไรนัก เป็นถ้ำที่มีพระพุทธรูปจำนวนมากมายหลายขนาด ส่วนมากเป็นพระยืนซะส่วนใหญ่ เจ้าหน้าที่ได้เล่าให้เราฟังว่า "สมัยโบราณเป็นที่สักการะบวงสรวงวิญญาณ ผีฟ้า ผี แถน และ เทวดาผาติ่ง ถ้ำติ่งแสดงถึงยุคแห่ง การปฏิวัติทางความเชื่อของชาวลาวในอดีตที่เคยนับถือผีพระเจ้าโพธิสารราชทรงเลื่อมใสพุทธศาสนา เป็นผู้นำพุทธศาสนาเข้ามา และ ทรงใช้ถ้ำติ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ทางพุทธศาสนา มีการค้นพบพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในคริสตวรรษที่ 18-19 กว่า 2500 องค์ ส่วนใหญ่ทำจากไม้ เมื่อตอนค้นพบใหม่ๆมีพระพุทธรูปจำนวนหนึ่งที่ทำด้วยเงิน และ ทองคำ แต่ถูกลอกออกไปหมด" ส่วนถ้ำติ่งบนนั้นต้องเดินขึ้นไปบนเขาขึ้นบันไดประมาณ 200 ขั้น สองข้างทางร่มรื่นไปด้วยเงาไม้ มีห้องสุขาให้ไว้ คอยบริการสำหรับนักท่องเที่ยว สะดวกสบายมาก ถ้ำติ่งบนเป็นถ้ำไม่ค่อยลึกเท่าไร มีพระพุทธรูปอยู่มนถ้ำแต่ไม่มากเท่ากับถ้ำติ่งล่าง

นครเวียงจันทน์
         
พระธาตุหลวง สัญลักษณ์ของประเทศลาว เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ เรียกว่า สปป. ลาว ตั้งอยูบริเวณริมแม่น้ำโขงด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามของอำเภอ ศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคายของไทย เมืองหลวงรูปพระจันทร์เสี้ยวแห่งนี้ ยังคงไว้ความสงบ เมื่อเทียบกับเมืองหลวงที่สับสนหลายแห่งในเอเซีย บรรยากาศความรุ่งโรจน์ที่เสื่อมสลายลงเรื่อยๆขับเน้นให้เสน่ห์อันเรียบง่ายของเวียงจันทน์ แม้ลาวจะเปลี่ยนไปมากตลอด 25 ปีที่ตกอยู่ในการปกครองแบบคอมมิวนิตย์ แต่เวียงจันทน์ก็ยังรักษาจิตวิญญาณ ของเมืองโบราณอยู่ตามวิถีของมันแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมาเวียงจันทน์มักต้องรับศึกต้อง ตกเป็น เมืองขึ้นของต่างชาติตลอดเวลา ไม่ว่าเป็นไทย เวียดนาม พม่า เขมร รวมทั้งฝรั่งเศส และ อเมริกา แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ ไว้อย่างเหนียวแน่นทั้งด้านความศรัทธาของพุทธศาสนาซึ่งอยู่ในหัวใจของชนชาวลาว ตลอดจนขนบะรรมเนียมประเพณีที่ดูอย่างดีงามผสมผสานอย่างเรียบง่ายคล้ายคลึงกับอีสานบ้านเรา จึงทำให้นักท่องเที่ยวไทยมีความรู้สึกอบอุ่น เหมือนอยู่เมืองไทยนี้เอง และ อีกอย่างหนึ่งเวียงจันทน์ เป็นแหล่ง จำหน่ายสินค้า ด้านหัตถกรรม ผ้าฝ้ายทอมือ รวมทั้ง เครื่องเงินที่มีราคาถูก
ให้คนไทยได้ซื้อหาเป็นของฝาก กับบ้าน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยว เดินทางผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว สามารถท่องเที่ยว แบบ ไปเช้า- เย็นกลับ หรือ แบบ ค้างแรม 1-2 คืน โดยไม่ต้องใช้หนังสือเดินทาง เพียงแต่ทำใบผ่านแดนเท่านั้น สามารถติดต่อได้ที่ บริษัทท่องเที่ยวด้านฝั่งจังหวัด หนองคาย สะดวก สบาย อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประตูชัย พระธาตุหลวงแห่งนครเวียงจันทน์ถือว่าเป็นศาสนสถาน ที่สำคัญที่สุดของประเทศลาว และ สัญลักษณ์ประจำชาติของลาว มีความหมายของประชาชนชาวลาว เป็นอย่างมาก พระธาตุหลวงสร้างเมื่อปี ค.ศ.1566 เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะอันโดดเด่นที่สุด ในอาณาจักรล้านช้าง ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า มีเรื่องเล่ากันว่า คณะฑูตจากอินเดีย ได้มีการอัญเชิญพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ที่นี่ใน ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล พระธาตุหลวงได้มีการสร้างขึ้นโดยแรงศรัทธาของประชาชนชาวลาว และ สมเด็นพระเชษฐา ได้มีการตั้งชื่อ พระธาตุหลวงว่า เจดีย์โลกจุฬามุณี องค์ประกอบแต่ละส่วนเป็นสัญลักษณ์แทนภพภูมิต่างๆ โดยฐานหมายถึง กามภูมิ องค์ระฆังหมายถึงรูปภูมิ และ ส่วนยอดหมายถึง อรูปภูมิ ตามระเบียงมีประติมากรรม ระหว่างลาว กับ กัมพูชา นอกจากนั้นในช่วงของเจ้าอนุวงค์ได้มีบัญชาให้เจาะช่องหน้าต่างเล็กๆ เอาไว้บนผนังเพื่อต่อต้านข้าศึก แต่ก็มีประโยนช์น้อย จนพระธาตุหลวงถูกทำลายเสียหายไปมาก จนปี ค.ศ.1931 ฝรั่งเศสจึงได้บูรณะขึ้นใหม่โดยใช้เวลานานถึง 4 ปีเต็ม

หอพระแก้ว
     
อยู่บนถนนเชษฐาธิราช ติดกับทำเนียบประธานประเทศ เดิมเป็นวัดหลวงประจำราชวงค์ลาว พระเชษฐาธิราช มีประประสงค์ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2108 เพื่อใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากล้านนา และเมื่อครองบัลลังก์ล้านช้างหลังจากพระโพธิสารสิ้นพระชนม์ลงในศึกสงครามกับสยามประเทศ เมื่อปี พ.ศ.2322 นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตกพ่าย กองทัพสยามได้เอาพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ของนครเวียงจันทน์ไปพร้อมกับกวาดต้อนพระราชวงค์ลาวไปยังกรุงเทพ แม้กองทัพสยามจะทำการบูรณะเท่าไร วัดนี้ก็ต้องถูกกองทัพสยามเหยียบย่ำทำลายลงอีก สำหรับหอพระแก้วปัจจุบันที่เห็นบูรณะใหม่ขึ้นมาทั้งหมด โดย การควบคุมดูแลการก่อสร้างของเจ้าสุวรรณภูมา ซึ่งจบการศึกษาด้านวิศกรรมจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศลาวหลังจากที่ประเทศลาวได้รับเอกราช 

วัดสีสะเกด
         ตั้งอยู่บนถนนเชษฐาธิราช ตรงข้ามกับหอพระแก้ว เจ้าอนุวงค์ทรงให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2361 เนื่องจากในสมัยนั้น ลาวตกเป็นเมืองขึ้นของกองทัพสยาม เจ้าอนุวงค์จึงออกแบบวัดตามอย่างศิลปะไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงเป็นสาเหตุที่กองทัพสยามไม่ทำลายวัดแห่งนี้ หลังบุกเข้าสู่นครเวียงจันทน์ในปี พ.ศ. 2371 วัดสีสะเกดจึงอาจนับว่า เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองเพราะวัดอื่นๆที่เหลืออยู่ ผนังด้านในของระเบียงที่รอบอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปเงิน และ ดินเผา มากกว่า 2,000 องค์ ส่วนใหญ่ เป็นพระที่สร้างที่เวียงจันทน์ในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึง 19 ปัจจุบันวัดสีสะเกดเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ของลาว 
ประตูชัย
        ตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนครเวียงจันทน์ สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2512 เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึก ถึงประชาชนชาวลาว ผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฎิวัติของพรรคคอมมิวนิตย์ ประตูชัยแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า รันเวย์แนวตั้ง เพราะการก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้ใช้ปูนซิเมนต์ที่อเมริกาซื้อมาเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ใน นครเวียงจันทน์ในระหว่างสงครามอินโดจีน แต่ไม่ทันสร้างเพราะอเมริกาพ่ายเวียดนามเสียก่อน จึงนำปูนเหล่านั้นมากสร้างประตูชัยแทน ตามลักษณะประคูชัยที่กรุงปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส แต่ลักษณะสถาปัตยกรรม ก็ยังคงเป็นลักษณะของลาว วังเวียง หรือ กุ้ยหลิน แห่งเมืองลาว เป็นเมืองเล็กๆที่เงียบสงบอยู่ทางตอนเหนือของนครเวียงจันทน์ ห่างจากนครเวียงจันทน์ เพียง 160 กิโลเมตร ตามถนนหมายเลข 13 วังเวียง สวรรค์บนดิน ที่มีความสวยงามแบบอมตะ และมนต์เสน่ห์ที่ยากจะหาชมได้ในปัจจุบัน ด้วยความเงียบสงบ และ บรรยากาศ แบบ สบายๆ ที่นักท่องเที่ยวทุกมุนโลก ต่างนิยมมาท่องเที่ยว เมืองวังเวียงแห่งนี้ หรือ เปรียบได้ว่า เป็น ถนน ข้าวสาร ของเมืองลาว อีกแห่งก็ว่าซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุม หรือ นัดหมาย ของนักท่องเที่ยว แบบ Backpacker จากทั่วทุกมุนโลกที่ต้องการท่องเที่ยวแบบผจญภัย และ แบบพักผ่อน แบบ ไม่เร่งรีบ และที่สำคัญ เมืองวังเวียงแห่งนี้ สถานที่พัก และ อาหาร ราคาถูกย่อมเยาว์ ไม่แพงอย่างที่คิด จึงไม่แปลกใจเลยว่า ที่วังเวียงเป็นแหล่งรวม นักท่องเที่ยว แบบ Backpacker วังเวียงเป็นแหล่งที่ เทือกเขาหินปูน และ เต็มไปด้วยถ้ำที่สวยงามอยู่มากมายที่จะรอนักท่องเที่ยวมายลโฉม

วังเวียง มีสถานที่ท่องเที่ยว และ กิจกรรม ที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าเป็น การล่องเรือ คายัด ตามลำน้ำแม่น้ำโสม ชมความงามของเทือกเขาหินปูน และ วิถีชีวิตของคนลาว ที่สวยงามยากจะหาชมได้ในปัจจุบัน
ถ้ำจัน
   
เป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในวังเวียง ถ้ำนี้เคยเป็นที่กำบัง และ หลบซ่อนในการต่อต้ากบฎ จีนฮ่อในช่วงศตวรรษที่ 19 และ อีกหลายถ้ำ ที่คุณสามารถติดต่อกับ ไกค์ท้องถิ่น ตามสถานที่พัก ของท่าน จะคอยอำนวยความสะดวกให้กับคุณ เมืองปากเซ แขวง จำปาศักดิ์ เมืองปากเซ เป็นเมืองท่าเมืองหนึ่งของแขวงจำปาศักดิ์ เป็นเมืองแห่งเศรษฐกิจ และ การค้าขาย ของลาวทางเขตภาคใต้ ซึ่งมีความเจริญกว่า เมืองจำปาศักดิ์ และ มีระยะทางใกล้กับชายแดนช่องเม็ก และติดอยู่กับเขตชองจังหวัดอุบลราชธานี การเดินทางคมนาคมขนส่ง จากประเทศไทย สู่เมือง ปากเซ นั้นสะดวกอย่างง่ายดาย
เมืองปากเซ ไม่เคยเป็นถิ่นกำเนิดของอารยธรรมโบราณเหมือนสุวรรณเขต และ หลวงพระบาง ฝรั่งเศสได้มีการก่อตั้งเมือง แห่งนี้ขึ้นในปี 1905 เพื่อทานอำนาจของจำปาศักดิ์ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ย้อนไปถึงยุคก่อนการเข้ามาตั้งรกราก ของพวกเขมร ปากเซตั้งอยู่บริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำโดนกับแม่น้ำโขง และ มีพื้นที่เพียงครึ่งหนึ่งของสุวรรณเขต เท่านั้น ปากเซมีประชากรอยู่ราว 100,000 คน เศษ แต่มีความหลากหลายทางอุปนิสัยและชาติพันธุ์อย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังมีชาวเวียดนาม และ ชาวจีน เข้ามาตั้งอาศัยรกรากอยู่อีกไม่น้อยบรรยากาศโดยทั่วไปค่อนข้างผ่อน คลาย ไม่เข้มงวดอะไรนัก การโดยสารรถจากสุวรรณเขตมายังปากเซใช้เวลาราวเจ็ดชั่วโมง และ ยิ่งเข้าเขตทางใต้ ลึกเข้ามาใด ถนนก็ยิ่งแย่ลงเท่านั้น แต่ทางการก็เร่งปรับปรุงเส้นทางอยู่แผนผังเมืองปากเซเป็นตารางสี่เหลี่ยมตัดกัน
จึงไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องทิศทาง

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในปากเซ
ศาลเจ้าสุขศรี
ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งเหนือของแม่น้ำโดนช่วงที่ไหลมารวมเข้ากับแม่น้ำโขงพอดี ศาลเจ้าแห่งนี้มีบรรยากาศสงบ และธรรมชาติ งดงาม สร้างขึ้น เมืองจำปาศักดิ์ แขวง จำปาศักดิ์ เมืองแห่งมรดกโลก เมืองจำปาศักดิ์ มีวัดโบราณ น้ำตกแสนสวย หมู่บ้านชนกลุ่มน้อย และ ภูมิทัศน์อันสวยสดงดงามที่สุดของ ภาคใต้ของลาว ทางภาคใต้มีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย และ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกันนัก ผู้มาเยือนที่สนใจด้านประวัติศาสตร์ และ วัฒนธรรม และ เป็นเมืองแห่งมรดกโลก
           

จำปาศักดิ์ เป็นเมืองที่สร้างก่อนเมืองปากเซ และมีความสำคัญในการค้าขาย ของเส้นทางอารยขอม จำปาศักดิ์ มีฐานะ เป็นศูนย์กลางการปกครองของแขวงและเป็นที่ประทับของพระราชวงค์ในสมัยที่ยังมีเอกราช แต่อดีตอันรุ่งเรือง กลับเหลือเพียงแต่ตำหนักยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส เพียงสองหลังทางทิศใต้เท่านั้น บนถนนลาดยางสายเดียว ในเมืองจำปาศักดิ์
จำปาศักดิ์มีถนนที่ร่มรื่นไปด้วยทิวไม้ที่น่าเดินเที่ยวเล่นหลายสาย และ สามารถปั่นจักรยานโดยรอบเมืองได้อย่างง่ายดาย ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองจำปาศักดิ์ อยู่แบบ เรียบๆง่าย เหมือน เป็นหมู่บ้านเล็กๆเท่านั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่า จะเป็นเมืองจำปาศักดิ์ ที่เคยรุ่งโรนจ์ในอดีต มีชาวบ้านอยู่ในเมืองจำปาศักดิ์ไม่กี่พันคนเท่านั้น สถานที่ท่องเที่ยวของจำปาศักดิ์ 
วัดทุ่ง
      ตั้งอยู่บนถนนลูกรังทางทิศตะวันตกของคุ้มหลวงนั้น เดิมเป็นวัดประจำราชวงค์และเป็นที่ฝังพระศพ ของเจ้านายหลายองค์ จึงยังมีบรรยากาศแบบโบราณที่มักเลือนหายไปกับกาลเวลาเหลืออยู่ แม้ความรุ่งโรจน์ จะลาลับไปแล้ว แต่จำปาศักดิ์ก็มีสภาพแวดล้อมที่น่าชื่นชม โรงแรมศาลาวัดภูนั้นเป็นอาคารชุดอาณานิคมที่ มีการช่อมแชมขึ้นมาใหม่ มีห้องพักที่สะดวกสบายเปิดให้บริการ ปราสาทวัดภูกับปราสาทอุ้มเมือง โบราณสถานที่ได้ให้เป็นมรดกโลกแหล่งที่สองของประเทศลาว รองจาก เมืองหลวงพระบาง
ปราสาทวัดภ      เคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของแหล่งอารยธรรมโบราณต่างๆถึง สามสมัยด้วยกันคือ สมัยอาณาจักรเจนละในช่วงศตวรรษที่6-8 ต่อมาพวกเขมรสมัยก่อนเมืองพระนคร ได้สร้างปราสาทหินขึ้นที่นี่ในราวศตวรรษที่ 9 สุดท้าย อาณาจักรล้านช้างก็ได้เปลี่ยนเทวาลัยในศาสนาฮินดูแห่งนี้ให้เป็นวัดในพุทธศาสนาสายเถรวาท 
ข้อมูลการเดินทาง
           การเดินทางไปยังประเทศลาว โดยเครื่องบิน ปัจจุบันมีเครื่องบินโดยสาร จาก ประเทศไทย สู่ ประเทศลาว มีดังต่อไปนี้ เส้นทาง กรุงเทพ-เวียงจันทร์ โดยสายการบิน สายการบินไทย โทร 02-545-1000
สายการบินลาว โทร 02-236-9822-3
เส้นทาง กรุงเทพ-หลวงพระบาง โดยสายการบิน
สายการบิน บางกอกแอร์เวย์ โทร 02-265-5555
สายการบิน ลาว โทร 02-236-9822-3
เส้นทาง เชียงใหม่-หลวงพระบาง โดยสายการบิน
สายการบินไทย โทร 02-545-1000

โดยรถโดยสารปรับอากาศ
เส้นทางเดินทางจาก กรุงเทพ สู่ เวียงจันทร์ ประเทศ ลาว
เดินทางจากรุงเทพ สู่ จังหวัด หนองคาย โดยรถโดยสารปรับอากาศ จาก สถานนีขนส่งหมอชิต ทุกวัน
บริษัท ขนส่งจำกัด
บริษัท เชิดชัย ทัวร์
บริษัท บารมี ทัวร์
บริษัท 407 พัฒนา
บริษัท รุ่งประเสิรฐทัวร์ 24 ที่นั่ง

โดยรถไฟ
มีรถไฟจาก กรุงเทพ สู่ หนองคายทุกวัน ติดต่อได้ที่ สถานนีรถไฟหัวลำโพง

จากหนองคาย มีรถโดยสารประจำทาง ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ทุกวัน ออกทุก 10 นาท คนละ 10 บาทคุณสามารถเรียกรถสามล้อ จากสถานนีรถไฟ หรือ สถานนีรถขนส่ง คนละ 30 บาท เพียงแต่บอกว่าไปที่ท่ารถข้ามสะพานอย่าลืมต้องมีใบผ่านแดน หรือ วีซ่าให้เรียบร้อย
เส้นทาง กรุงเทพ-เชียงของ-ท่าทราย-หลวงพระบาง ขอบอกว่าเส้นทางนี้หฤโหดมาก เดินทางจากรุงเทพ สู่ จังหวัด เชียงราย อำเภอเชียงของ โดย รถโดยสารปรับอากาศ จาก สถานนีหมอชิต ทุกวันบริษัท สยามเฟริสท์ ทัวร์ โทร 02-936-2953 หรือ 02-954-3601-7












              แหล่งที่มา

ห้วยทราย-หลวงพระบาง
     
ด่านอำเภอเชียงของ จังหวัด เชียงราย อยู่ฝั่งตรงข้ามคือ ด่านห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว อยู่ท่าเรือบั๊ค ด่านตรวจ
คนเข้าเมืองลาวที่ห้วยทรายสามารถขอวีซ่าแบบเร่งด่วน เดินทางเข้าประเทศลาวได่ โดยเสียค่าธรรมเนียมคนละ 30 US$ ในกรณีที่ไม่ได้ขอวีซ่ามาจากกรุงเทพ หรือ ทำใบผ่านแดนชั่วคราวก็ได้โดยเสียค่าธรรมเนียมทางฝั่งด่านตรวจ คนเข้าเมืองไทยคนละ 35 บาท และ ด่านตรวจคนเข้าเมืองลาว ที่เมืองห้วยทราย อีกคนละ 90 บาท สามารถอยู่ ห้วยทรายได้ 3 วัน 2 คืน จากเมืองห้วยทรายสามารถเดินทางไปยังเมืองหลวงพระบางได้โดยทางรถยนต์ แต่สภาพถนนไม่ค่อยดี ระยะทางประมาณ 473 กิโลเมตร อาจต้องใช้เวลาในการเดินทางหลายวัน เหมาะสำหรับ นักท่องเที่ยวแบบ ประเภทแบกเป้ ไม่คำนึงถึงเรืองเวลาซึ่งเหมาะที่จะแวะเที่ยวตามเมืองต่างๆที่เดินทางผ่านอย่าง เช่นเมืองภูคา อุดมไชย ปากมอง หลังจากนั้นก็สิ้นสุดที่หลวงพระบาง หรือ หลวงน้ำทา และ เดินทางต่อไปยังเมือง เชียงรุ้ง ประเทศจีนได้เช่นเดียวกัน